ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 12-07-2024, 23:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,637
ได้ให้อนุโมทนา: 158,515
ได้รับอนุโมทนา 4,488,532 ครั้ง ใน 36,246 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็น "ผู้มาก่อนกาล" แต่ว่าครั้งนี้โครงการอบรมมาถึงในเขตของตนเอง ก็คือ ทางศูนย์อนามัยที่ ๕ จังหวัดราชบุรี สำนักงานสาธารณสุขกาญจนบุรี มาจัดงานจนถึงที่แล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สะดวกด้วยประการทั้งปวง แต่ว่าเราจะเห็นแก่ตัวโดยการเอาเฉพาะพระวัดท่าขนุนลงไปอบรมก็ไม่ได้ จึงต้องแบ่งสันปันส่วนกัน ตามที่ประชุมได้กำหนดเอาไว้ด้วยความรอบคอบที่สุดแล้ว

หลังจากนี้ถ้าหากว่ามีการอบรมครั้งต่อ ๆ ไปก็จะได้ทำการคัดเลือกบุคคลในลักษณะแบบนี้อีก ก็คือคัดเลือกในลักษณะเดียวกับการอบรมครั้งนี้ เพื่อที่จะได้มีความยุติธรรม และขณะเดียวกันก็กระจายผู้รับผิดชอบออกไปให้ทั่วพื้นที่ ถ้าไม่เพียงพอยังสามารถที่จะขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากวัดท่าขนุน ซึ่งมีพระคิลานุปัฏฐากมากที่สุดได้อีกด้วย

เมื่อถึงเวลา หลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติท่านก็มอบหมายให้กระผม/อาตมภาพ เป็นผู้ให้โอวาทแก่พระภิกษุทั้งหมดที่เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ โดยท่านบอกว่า "หลวงพ่อรอง ฯ วัดท่าขนุน ถนัดเรื่องนี้มากกว่ากระผม" ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอทองผาภูมิ นำเอาคำให้โอวาทมา แต่กระผม/อาตมภาพวางเอาไว้เฉย ๆ แม้แต่เปิดดูก็ไม่ได้เปิด ให้โอวาทว่า "พระภิกษุทุกรูปเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยบุญญาธิการอันใหญ่ยิ่ง จึงได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมครั้งนี้

เนื่องเพราะว่าถ้าดูในพระธรรมบทเรื่องพระปูติคัตตติสสะ คำว่า ปูติคัตตะ ก็คือ ร่างกายอันเน่าเปื่อย ท่านมีชื่อว่าติสสะ แต่เนื่องจากว่าติสสะนั้นมีหลายต่อหลายรูปด้วยกัน จึงต้องมีฉายาต่อท้าย พระปูติคัตตติสสะท่านน่าจะป่วยเป็นมะเร็ง เพราะในบาลีบอกว่าเกิดต่อมขึ้นกับร่างกาย ตอนแรกก็โตเท่าเม็ดถั่วเขียว แล้วหลังจากนั้นก็โตขึ้นเท่าลูกสมอ โตขึ้นเท่าผลมะตูม แตก เน่า มีแต่น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลโทรมไปทั้งกาย ในเมื่อเป็นหลาย ๆ ต่อมเข้า ผู้คนก็รังเกียจไม่มีใครดูแล ปล่อยท่านนอนจมน้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่อย่างนั้น..!

องค์สมเด็จพระภควันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทราบเข้าก็เสด็จไปหา ทรงต้มน้ำ ซักจีวร เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ท่านติสสะด้วยตนเอง เมื่อท่านติสสะร่างกายผ่อนคลายสบายแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ตรัสบาลีว่า
"ดูก่อน..ติสสะ อะจิรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิงอะธิเสสสะติ ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัดถ้ง วะ กะลิงคะรังฯ" ซึ่งในปัจจุบัน คณะสงฆ์ของเราใช้ในพิธีบังสุกุลเป็น แปลความว่า "ดูก่อน...ติสสะ ร่างกายนี้เมื่อปราศจากวิญญาณแล้ว ก็ถูกทิ้งนอนกลิ้งอยู่กับแผ่นดิน เหมือนกับขอนไม้ฉะนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-07-2024 เมื่อ 01:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา