เนื่องเพราะว่าแต่ละจังหวัดจะมีพระเกจิอาจารย์ที่ได้รับการกำหนดตัวแค่ ๔ รูปเท่านั้น ต้องถือว่าเป็นเกียรติเป็นศรีอย่างยิ่งในชีวิตของตนเอง ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมถึงผูกพันกับเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ต้น อุปสมบทในปี ๒๕๒๙ พอปี ๒๕๓๐ ก็ยุ่งเกี่ยวกับการเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ที่อุโบสถวัดท่าซุง พอมาถึงทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา คราวนี้ต้องเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์เอง ในฐานะพระเกจิอาจารย์ของจังหวัดกาญจนบุรี
แล้วพอเสกน้ำเสกศักดิ์สิทธิ์ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ในวันบรมราชาภิเษก ก็อยู่ในฐานะพระเกจิอาจารย์อีกหนึ่งรอบ มารอบนี้ก็ถือว่าเป็นวาระสำคัญ เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ ๖ รอบ
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เมื่อตกมาแล้วก็ยังรู้สึกสงสัยตนเองว่า ทำไมถึงมีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ขนาดนี้ ? น่าจะอยู่ในลักษณะที่ว่าอดีตชาติเคยเป็นข้าราชบริพาร ถวายการรับใช้มาหลายยุคหลายสมัย
พอมาถึงยุคนี้สมัยนี้มาบวชเสียก่อน โอกาสที่จะถวายการรับใช้นั้นมีน้อย จึงกลายเป็นว่าพอมีวาระสำคัญอะไรต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้มีส่วนร่วมในวารสำคัญนั้น ๆ พอดี ถือว่าเป็นเกียรติประวัติส่วนตนที่น่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องเพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายภาระธุระในพระพุทธศาสนาให้ ทรงตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตร แล้วกระผม/อาตมภาพเองก็ไม่มีโอกาสตอบแทนทางด้านอื่น จนกระทั่งได้มาถวายงานในลักษณะแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2024 เมื่อ 08:00
|