อีกส่วนหนึ่งก็คืออนุมัติงบประมาณเพื่ออบรมพระจริยานิเทศก์ ซึ่งพระจริยานิเทศก์นั้นเป็นพระที่น่าสงสารมาก เพราะว่าไม่มีสังกัด เนื่องเพราะว่าในแต่ละจังหวัดนั้นมีมากน้อยไม่เท่ากัน โดยมีประธานคณะพระจริยานิเทศก์ของจังหวัดนั้นก็คือหลวงพ่อของแต่ละจังหวัด ก็แปลว่าเจ้าคณะจังหวัดต้องเป็นประธานคณะพระจริยานิเทศก์ของจังหวัดนั้น ๆ ไปโดยปริยาย
แล้วถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น ถึงเวลาจะใช้งบประมาณอุดหนุนจึงไม่ทราบว่าจะลงไปที่ตรงไหน เขาจึงเอากลุ่มพระจริยานิเทศก์มาผูกเอาไว้กับศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ พูดง่าย ๆ ว่าถ้ามีงบประมาณหลวงมาก็โอนเข้าศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ แล้วค่อยกระจายไปให้พระจริยานิเทศก์ ซึ่งแต่ละท่านก็ทำงานในลักษณะที่ว่าเงินที่ให้มาก็ "ไม่พอยาขี้ฟัน" เช่นกัน แต่ก็อาศัยกำลังใจที่อยากจะทำในส่วนงานของพระพุทธศาสนาให้ดีบ้าง ได้รับการสนับสนุนจากญาติโยมบ้าง
อีกส่วนหนึ่งก็คืออนุมัติงบประมาณในการประชุมคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ ซึ่งจะต้องสิ้นสุดลงก่อนวันที่ ๓๐ กันยายน เพราะว่าส่วนหนึ่งเป็นงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แล้วในช่วงนั้น กระผม/อาตมภาพก็กำลังตรวจยกหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบอยู่ "มือเป็นระวิง" พูดง่าย ๆ ว่าประชุมเท่าไรก็ไม่ได้ไปร่วมงานด้วย
พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมบัณฑิตก็ยังอุตส่าห์ถามว่า "แล้วงานแสดงพระธรรมเทศนา ๔ ภาคเฉลิมพระเกียรติที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สามารถไปร่วมงานได้หรือไม่ ?" กระผม/อาตมภาพเรียนถวายไปว่า "ต่อให้มีบัตร VVIP ก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่ากระผม/อาตมภาพติดเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา งานอื่นสามารถให้คนไปแทนได้ แต่การเป็นพระเกจิอาจารย์ไม่มีใครแทนได้" ท่านเจ้าคุณอาจารย์ยังแซวว่า "ตกลงว่าคนอื่นเสกแล้วไม่ศักดิ์สิทธิ์" ความจริงแล้วไม่ใช่
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2024 เมื่อ 07:59
|