ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 28-06-2024, 23:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,271 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าทำในลักษณะอย่างนี้ถึงจะมีความก้าวหน้าอย่างที่ต้องการ ไม่ใช่อยากแสวงหาความก้าวหน้า ก็วิ่งไปหาครูบาอาจารย์ท่านโน้นท่านนี้ไปเรื่อย อยู่ในลักษณะเหมือนอย่างกับไปตลาด ซื้อผัก ซื้อหมู ซื้อเนื้อ ซื้อปลาเอาไว้เต็มไปหมด แต่ไม่ได้ทำกินเสียที หรือว่าทำก็สุก ๆ ดิบ ๆ กินไม่ได้อย่างใจ

ต้องเรียนรู้วิธีการทำอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งให้รู้จริง ทำแล้วให้ได้รสอย่างที่ต้องการ แล้วเราค่อยไปทำอาหารแบบใหม่ เรื่องของกรรมฐานก็ลักษณะเดียวกัน ส่วนใหญ่แล้วคนในปัจจุบันนี้ เรียนรู้มามาก ฟังมามาก ศึกษามามาก แต่เอาดีไม่ได้เลย เพราะว่ามากจนจับจุดไม่ถูก..!

เรื่องของกรรมฐานนั้นลมหายใจเข้าออกสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก กรรมฐานทุกกองจะไม่ทรงตัว ต่อให้ตั้งอยู่ได้ก็ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เมื่อมีลมหายใจเข้าออกแล้ว เราจะควบคู่กับกรรมฐานกองไหน ?

ถ้าเป็นสมัยโบราณ ส่วนใหญ่ก็ควบกับพุทธานุสติ ก็คือระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะภาวนาว่าพุทโธก็ได้ สัมมาอะระหังก็ได้ อิติสุคะโตก็ได้ แล้วแต่ว่าเราถนัดแบบไหนมาก่อน แต่ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูปที่เรารักเราชอบเป็นปกติ ไม่ต้องไปฟังไม่พวกไม่รู้ภาษา ที่บอกว่า"พุท..โธ ไม่มีในพระไตรปิฎก สัมมา..อะระหังไม่มีในพระไตรปิฎก"

คำภาวนาไม่ใช่สาระ คำภาวนาเป็นเพียงเครื่องโยงใจของเราให้เป็นสมาธิเท่านั้น จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ขอให้นึกถึงซ้ำ ๆ กันก็สร้างสมาธิได้ทั้งสิ้น หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม โดนพ่อพาไปวัดตั้งแต่เด็ก ตัวพ่อขึ้นไปสนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์บนกุฏิ ท่านเองโดนทิ้งอยู่ที่ศาลาจนกระทั่งมืด เด็กเล็กนั่งอยู่บนศาลากลางป่ามืด ๆ คนเดียวก็กลัวมาก หลับหูหลับตาคิดว่า "กลัวแล้ว..ไม่เอาแล้ว กลัวแล้ว..ไม่เอาแล้ว" กลายเป็นคำภาวนาไปได้ อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าศาลาทั้งศาลาสว่างเหมือนกับกลางวัน เพราะว่าสภาพจิตทรงตัวเป็นสมาธิแล้ว

ดังนั้น..ในเรื่องของคำภาวนา โบราณาจารย์กำหนดเอาไว้เพื่อให้พวกเราจะได้มีเครื่องยึดเพิ่มขึ้น เพราะว่าบางคนนึกตามลมหายใจอย่างเดียวรู้สึกว่าไม่ถนัด แต่ถ้ามีคำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เราก็สามารถที่จะยึดจับได้ง่ายขึ้น เป็นกุศโลบายที่ครูบาอาจารย์สมัยก่อน สอนเด็กหัดเดินให้เกาะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อพยุงตัวให้เดินได้ก่อน เมื่อเดินคล่องแล้ว เราอาจจะไม่ต้องเกาะอะไรเลยก็ได้ บุคคลที่ทรงฌานจนคล่องตัว ไม่ทันภาวนาแค่คิดก็เป็นแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้เขาบอกว่าสิ่งนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก สิ่งนั้นไม่มีในพระไตรปิฎก แต่ถ้าเราภาวนาแล้วอารมณ์ใจทรงตัวก็ใช้ได้ทั้งนั้น

เมื่อกำลังทรงตัวเพียงพอ หนักแน่นมั่นคง เราก็เอามากดทับกิเลส ก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราวก่อน เพื่อให้จิตของเรามีความผ่องใสมาก หลังจากนั้นก็เอากำลังสมาธินั้น มาตัดมาหั่นกิเลสในใจของเรา แต่คราวนี้ถ้าเราจะไปตัดไปหั่นโดยตรงแบบคนไม่มีปัญญา ก็ไม่รู้จะไปตัดไปหั่นอย่างไร เพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกายนี้ เราไม่สามารถที่จะละร่างกายนี้ไปได้ เพราะว่าเรายังไม่ตาย ก็แปลว่า รัก โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่เต็มตัวทุกคน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2024 เมื่อ 03:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา