องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้สอนให้เราหลีกหนีจากสังคม หากแต่สอนให้เราอยู่ในสังคมในลักษณะของน้ำบนใบบัวหรือว่าใบบอน ต่อให้กลิ้งไปกลิ้งมาบนใบบัวใบบอนเท่าไร ก็ไม่ได้ติดอยู่ใบบัวใบบอนเหล่านั้นเลย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เรามีศีลมีธรรมเป็นเกราะกำบัง
เรื่องของวัตรปฏิบัติต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่เราขัดเกลา ศีล สมาธิ และปัญญาของตนเองไปในตัว ให้แต่นั่งปฏิบัติภาวนาอย่างเดียวเราก็ไปไหนไม่รอด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับกรรมฐานให้เข้ากับชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำอะไรก็ตาม ให้จิตอยู่กับความนิ่งความสงบภายใน คอยระมัดระวังไว้ไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง กำเริบขึ้นมา แล้วถ้าสามารถขจัดให้ลดน้อยถอยลง หรือว่าหมดไปจากใจได้ก็ยิ่งดี
เรื่องของการสวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานจึงไม่ใช่เรื่องที่เราขาดได้ เพราะว่าเป็นการเติมอาหารใจ เป็นการเติมกำลังใจให้ตนเอง ให้มีความเข้มแข็งในการที่จะต่อสู้กับกิเลสต่อไปในข้างหน้า หรือว่าเป็นการขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเอง ให้กิเลสลดน้อยถอยลงไปเรื่อย จะได้สมกับเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ผู้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงฝากพระพุทธศาสนาเอาไว้
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-06-2024 เมื่อ 01:17
|