แต่เมื่อครั้นถึงเวลาที่เราเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรม ก็คือการใช้แรงงานจำนวนมาก เพื่อจะได้สินค้าออกไปส่งต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวโพด ไม้สัก ยางพารา แร่ดีบุก ตามที่ครูได้สอนเอาไว้ เมื่อต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก ก็ทำให้แรงงานทั้งหลายวิ่งเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม พวกที่จะมาช่วยให้พระภิกษุสงฆ์ของเราได้กระทำงานต่าง ๆ เหมือนก่อนก็ไม่มี
ส่วนใหญ่บรรดาอุบาสกอุบาสิกาที่มีฐานะดี ก็นำปัจจัยมามอบให้กับหลวงปู่หลวงพ่อ บอกว่าต้องการเป็นเจ้าภาพสร้างสิ่งนั้น ต้องการเป็นเจ้าภาพสร้างสิ่งนี้ รบกวนหลวงปู่หลวงพ่อช่วยจัดการให้ด้วย พวกกระผม/พวกดิฉันมีงานที่ต้องรับผิดชอบ ไม่สามารถที่จะมาดูแลให้ด้วยตนเอง
ดังนั้น..เมื่อสังคมเปลี่ยนไป วัดวาอารามก็เปลี่ยนไป ประกอบกับการศึกษาของพระที่สมัยก่อนปริยัติคือการเรียนตำรา กับปฏิบัติคือการฝึกวิปัสสนากรรมฐานนั้น เป็นสิ่งที่กระทำคู่กันมา แต่ครั้นเมื่อโดนแยกหลักสูตรการศึกษาออกมา กลายเป็นว่าปริยัติเรียนในส่วนของนักธรรมและบาลี ปฏิบัติไม่มีการสนับสนุน
แถมในสมัยที่หลวงปู่มั่นท่านออกธุดงค์ใหม่ ๆ ก็โดนกล่าวหาว่าเป็นผีบ้า ผีบุญบ้าง โดนขับไล่บ้าง จนกว่าญาติโยมจะเข้าใจก็ช่วงท้าย ๆ ชีวิตของท่านแล้ว
ในเมื่อการศึกษาปริยัติและปฏิบัติโดนแยกออกจากกัน หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะมีความรู้ครบถ้วนทั้งสองด้าน ท่านที่ศึกษาปริยัติเมื่อมีความรู้ก็มักได้รับความไว้วางใจ ให้เป็นพระสังฆาธิการฝ่ายปกครอง เมื่อมีความเจริญก้าวหน้าในยศฐาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งแห่งที่ของตน ด้วยความที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมมา ก็เลยหลงไปกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทั้งหลายเหล่านั้น
ส่วนท่านที่ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งก็มีความมานะถือตัวถือตนขึ้นมา ไม่สามารถที่จะละกิเลสให้หมดสิ้นได้อย่างแท้จริง จึงแบกมานะว่า "กูเป็นพระฝ่ายปฏิบัติ กูเคร่งครัดกว่า กูดีกว่า" บางทีก็มีการเขม่นกันเอง จนถึงขนาดขัดแข้งขัดขากัน จนกลายเป็นอธิกรณ์ใหญ่ อย่างเช่นการที่กล่าวหาครูบาศรีวิชัยว่า ท่านตั้งตัวเป็นผีบุญ จะก่อกบฏแยกประเทศ เหล่านี้เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2024 เมื่อ 12:24
|