ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 17-06-2024, 23:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,640
ได้ให้อนุโมทนา: 158,544
ได้รับอนุโมทนา 4,488,654 ครั้ง ใน 36,249 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..บางอย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกไปในกลุ่มไลน์ที่เขากระทบกระทั่งกันว่า "ผมเองโดนมาเยอะแล้ว" ไม่ได้หมายความว่าโดนที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์อย่างเดียว แต่ว่าโดนมาทุกทิศทุกทาง ประสบการณ์ ๑ รุม ๑๐ ก็เจอมาแล้ว..! เขาพยายามที่จะต้อนให้ตกหลุม แต่กลายเป็นว่ากระผม/อาตมภาพอาศัยวิชาที่หลวงพ่อท่านสอน คือมโนมยิทธิ "ในเมื่อรู้ว่ามึงคิดอย่างไร แล้วยังไปตามมึง กูก็โง่ตายห่..!"

กลายเป็นว่าแทนที่ฝ่ายตรงข้ามจะต้อนกระผม/อาตมภาพให้ตกหลุมได้ กลายเป็นโดนปั่นหัวเสียจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่อย่าลืมว่านั่นคือคณะสงฆ์ เสร็จงานเมื่อไรกระผม/อาตมภาพกราบขอขมาทุกครั้ง การขอขมาก็คือ "เรื่องนี้กูจบ ส่วนใครจะแบกก็เรื่องของมึง..!" ตลอดระยะเวลาที่มีการกระทบกระทั่งกัน จะดูกำลังใจตัวเองเป็นหลักว่า มี รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นหรือไม่ ?

ดังนั้น..เมื่อส่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นมณฑปหลังร้อยวันแล้ว กระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะอยู่วัดต่อได้ ถ้าอยู่ต่อจะมีปัญหา เพราะว่าเป็นผู้กุมเสียงข้างมากเอาไว้ในมือ เหมือนกับวิปรัฐบาล คนที่เขาต้องการตำแหน่งเขาก็พยายามที่จะแย่งตัว เพราะรู้ว่าเข้าข้างใคร คนนั้นก็ชนะ จึงได้โทรบอกครูบาอาจารย์ ก็คือท่านเจ้าคุณอนันต์ ซึ่งตอนนั้นก็คือพระครูปลัดอนันต์แล้วว่า "ผมอยู่ไม่ได้ ให้ตั้งข้อหาอะไรก็ได้ แล้วขับผมออกจากวัด เพราะว่าพรุ่งนี้ผมจะไปแล้ว"

ท่านก็ออกปากว่า "ถ้าคุณไปแล้วใครจะช่วยผม" ก็เรียนท่านไปว่า "ประคับประคองกันมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าหากยังยืนเองไม่ได้ กระผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรเหมือนกัน ?" แล้วรุ่งขึ้นก็เก็บของออกจากวัดเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านบอกว่า "ไปสักเดือนสองเดือนแล้วกลับมาก็ได้" แต่กระผม/อาตมภาพไม่เคยย้อนกลับไปอีกเลย..!

ถ้าย้อนกลับไปก็จะอยู่ในลักษณะเดิม เนื่องเพราะว่าพอออกมาแล้ว หลวงพ่อพระครูปลัดอนันต์ต้องหาพระถึง ๕ รูปไปทำงานที่กระผม/อาตมภาพเคยทำอยู่คนเดียว..!

ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าเกิดขึ้น กระผม/อาตมภาพเข้าใจว่าบรรดาน้อง ๆ ที่วิทยาลัยสงฆ์นั้น กำลังใจยังไม่ได้ระดับที่จะวางลงได้ กลายเป็นเก็บกด เมื่อถึงเวลาเจอ "ฟางเส้นสุดท้าย" เข้าก็ระเบิด จึงต้องยกตัวอย่างตัวเองให้เขารู้ประมาณว่า "แม้แต่อาจารย์เล็กยังโดนมาเยอะ ของเอ็งยังจิ๊บ ๆ..!" แต่ก็พูดมากกว่านั้นไม่ได้ เพราะว่าเราเองลาออกมาแล้ว เขาไม่ดีดออกจากกลุ่มไลน์ ก็ถือว่าให้ความเกรงใจมากแล้ว..!

ดังนั้น..ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ตาม สิ่งแรกที่ต้องดูไว้ก่อนเลยก็คือกำลังใจของเรา ว่าผ่องใสหรือว่าขุ่นมัว ถ้าหากว่ายินดี เป็นการยินดีมากเกินไปหรือเปล่า ? ถ้าใครที่เคยศึกษาเรื่องสีของจิตก็จะรู้ว่า กำลังใจ รัก โลภ โกรธ หลง แต่ละอย่างนั้น สภาพจิตของเราจะมีสีสันที่ต่างกันไป

ถ้าหากว่าเป็นเรื่องไม่ดีมากระทบ เราเก็บความขุ่นมัวไว้ยาวนานเท่าไร ? สามารถขับไล่ไปในระยะเวลามากน้อยเท่าไร ? ครั้งต่อไปที่เกิดขึ้นเราใช้ระยะเวลาที่น้อยลงหรือมากขึ้น ?

ตราบใดท่านทั้งหลายที่ว่าตนเองเป็นนักปฏิบัติธรรม แต่ไม่รู้จักดูที่ตัวเอง ไม่รู้จักแก้ที่ตัวเอง โอกาสที่จะก้าวหน้ามีน้อยมาก กระผม/อาตมภาพบอกพระพี่พระน้องในวัดท่าซุงสมัยนั้นว่า "ใครวางก่อน สบายก่อน" ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นฟังเข้าใจหรือไม่ ?

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2024 เมื่อ 03:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา