ขณะเดียวกันพวกเราเองก็ยังไปสนับสนุนเสียอีก อย่างที่บอกว่า ขาดการสำรวมอินทรีย์ ขาดการระมัดระวัง ตาอยากเห็นรูปก็รีบไปดู หูอยากได้ยินเสียงก็รีบไปฟัง เท่ากับว่าเลี้ยงโจรเอาไว้ปล้นตัวเอง..!
ดังนั้น..นักปฏิบัติที่หวังดีอย่างแท้จริง ต้องทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดใน ศีล สมาธิ ปัญญา ลงไปต่อต้านอำนาจของกิเลส ชนิดที่ตายกันไปข้างหนึ่ง ก็คือถ้าหากชนะไม่ได้ก็ยอมตายไปเลย..! ใช้กำลังใจแบบท่านพระพาหิยทารุจีริยะก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ ท่านกับเพื่อน ๆ ทำบันไดปีนขึ้นไปอยู่กลางยอดเขา อาศัยถ้ำตรงนั้นอยู่ แล้วถีบบันไดทิ้งไปเลย..!
กะว่าถ้าปฏิบัติไปแล้วเหาะไม่ได้ ก็จะไม่หาอะไรกิน ยอมอดตายอยู่ที่นี่ วันที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เพื่อนสำเร็จฌานสมาบัติ สามารถเหาะได้ ท่านพาหิยะทำเท่าไรไม่สำเร็จ ท้ายที่สุดทุกท่านเหาะจากไป เหลือท่านอดตายอยู่คนเดียว..! แต่ด้วยความที่ท่านต่อสู้อย่างเต็มที่ จนอินทรีย์แก่กล้าแล้ว พอมาชาตินี้แค่ฟังธรรมสั้น ๆ ประโยคเดียวจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็บรรลุมรรคผลเลย
ถ้าเราดูตัวอย่างจากหลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่า ท่านใช้วิธีผ่อนอาหารลง บางท่านก็ใช้วิธีฉันอาหารน้อยลงไปเรื่อย ๆ วันละคำ บางท่านก็อดไปเลย ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ครึ่งเดือน พูดง่าย ๆ ว่าถ้ากิเลสเอ็งแน่จริง อดจนไม่มีแรงแล้วก็ลองกำเริบดู แต่อย่าลืมว่ากิเลสนั้นมีมายามาก เพราะว่าอาศัยอยู่กับตัวเรา
ดังนั้น..ถ้าหากเราตั้งใจปฏิบัติธรรมไปจนถึงระดับหนึ่ง กิเลสรู้ว่าถ้าเราทำต่อมันตายแน่ ก็พยายามดิ้นรนให้เราเข้าใจผิด ว่าถ้าทำต่อผู้ที่จะตายคือเรา แล้วด้วยความที่ยังกลัวตายอยู่ เราก็ไปเลิกการปฏิบัติธรรม ปล่อยให้กิเลสมีกำลังใจขึ้นมาใหม่ แล้วก็มาฟัดเราอีก..!
ในเรื่องของการสู้กับกิเลสจึงจำเป็นต้องเอาชีวิตเข้าแลก ไม่ใช่ทำแบบแก้บน ต้องทำแบบคนที่พร้อมจะตายอยู่เสมอ ตั้งเป้าหมายไว้ให้ชัดเจน แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาตะลุยไปเลย ถ้าใครสามารถทำในลักษณะเอาชีวิตเข้าแลกได้ โอกาสที่จะได้ดีก็มีสูง แต่ถ้าหากยังทำตัวแบบกลัว ๆ กล้า ๆ โอกาสที่จะรอดนั้นยากมาก
โดยเฉพาะบางคนบวชแล้วบวชอีก ๓ วัน ๗ วันกูก็สึก ดันไปคิดว่าเป็นการสะสมบุญให้ตัวเอง ลืมคิดไปว่าเป็นกำลังใจที่ห่วยมาก..! เพราะว่าเปิดกว้าง ๓๖๐ องศา พร้อมที่จะหนีได้ทุกเวลา ถ้าแบบนั้นจะไปสู้ข้าศึกได้อย่างไร ? ยังไม่ทันจะเห็นหน้าข้าศึกเลย ตัวเราพร้อมที่จะยกทัพหนีแล้ว โอกาสที่จะชนะก็เป็นศูนย์..! ถ้าหากว่าตายลงอบายภูมิก็ขาดทุนอย่างหนัก ถ้าตายแล้วได้เกิดเป็นมนุษย์ใหม่ก็ไม่รู้ว่าจะได้พบพระพุทธศาสนาอีกหรือเปล่า..!?
แต่ว่าเรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพถือว่าเป็นกำลังใจของใครของมัน เราเองนิยมแบบสู้กันตายไปข้างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะนิยมแบบนี้ แต่ถ้าจะค่อย ๆ เก็บคะแนนทีละเล็กทีละน้อย ก็อาจจะมีเวลาอีกหลายแสนกัปในการค่อย ๆ เก็บคะแนนไป เพียงแต่ละกัปนั้นต้องเกิดกันนับชาติไม่ถ้วน เกิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น โอกาสที่จะสุขนั้นไม่มี จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องตัดสินใจกันเอาเอง ว่ายังจะทำกันแบบแก้บน หรือจะทำกันจริง ๆ จัง ๆ เสียที
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-06-2024 เมื่อ 02:31
|