ก็คือทุกอย่างเป็นเพียงธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบขึ้นมาชั่วคราวเหมือนกัน ในเมื่อมองในลักษณะนั้น รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่เกิด เพราะว่าสภาพจิตไม่ปรุงแต่ง
เราก็ประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ แล้วให้ซักซ้อมการพิจารณานั้นบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้อารมณ์นั้นเคลื่อนคลายไปไหน จนกระทั่งท้ายสุด ตัวเราและสรรพสิ่งรอบข้างก็เหมือนกัน คือไม่มีอะไรเป็นสาระ เป็นแก่นสารเลย สภาพจิตของเราก็จะถอนจากเกาะยึดเกาะ ถ้าใครฝึกมโนมยิทธิมาถึงตอนนี้ มโนมยิทธิจะแจ่มใสเป็นพิเศษ เพราะว่าไปโดยไม่ยึดไม่เกาะอะไรเลย
ดังนั้น..เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย สำหรับนักปฏิบัติแล้วถือว่าเป็นทุกขลาภอย่างหนึ่ง ก็คือเราสามารถที่จะพิจารณาเห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่มีความดีอะไรเลย เลี้ยงเอาไว้ก็เหมือนกับเลี้ยงเสือไว้กัดตัวเอง เผลอเมื่อไรก็โดนเสือกัด
เดี๋ยวหิว เดี๋ยวกระหาย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีวันสงบสุขแม้แต่วันเดียว หลายท่านที่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วมัวแต่ไปคร่ำครวญอยู่ เหมือนสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังบวชใหม่ ๆ พิจารณามาถึงตรงนี้แล้วอาจจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดี เพราะว่าเรื่องของร่างกายเป็นเรื่องที่เป็นไปตามกรรมที่เราทำมา
จะขอร้องให้ป่วยก็ไม่ได้ ขณะเดียวกัน ป่วยอยู่จะไปขอร้องให้หายก็ไม่ได้ นั่นคือสภาวะของอนัตตา ก็คือบังคับบัญชาไม่ได้
เมื่อถึงตรงนั้นแล้วเราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นเลิศขนาดไหน เพราะว่าทุกสิ่งที่พระองค์ท่านสอนมานั้น เป็นเรื่องจริงแท้ทั้งหมด ความเคารพในพระรัตนตรัยของเราก็จะยิ่งมั่นคง
ก็แค่ไปทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ตั้งสติเอาไว้เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าตายแล้วเราจะไปไหน แรก ๆ ก็ยังต้องเล็งเป้าหมายอยู่ พอไปถึงตอนท้าย ๆ แม้แต่เป้าหมายก็ไม่เอาแล้ว ทุกอย่างปล่อยหมด วางหมด เพราะถ้าไม่ปล่อย ไม่วาง ก็ไปไม่ได้ แต่หลายท่านวางตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนเราตั้งเป้าว่าจะขึ้นไปที่ห้องพักชั้นบน เดินเกาะราวบันไดขึ้นไป บางคนเข้าไปอยู่ในห้อง ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตนเองปล่อยราวบันไดตอนไหน ?
เพียงแต่ให้รักษาอารมณ์ใจนั้นไว้ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ก็คืออารมณ์ใจที่ว่า ละชั่ว ทำดี โดยที่รู้ว่า "สิ่งนี้ชั่วเราก็ละ สิ่งนี้ดีเราก็ทำ สภาพจิตไม่ได้ไปยินดียินร้ายกับทั้งดีทั้งชั่วเหล่านั้น" ถ้าเราสามารถทำอย่างนี้ได้ โอกาสที่จะเข้าถึงความหลุดพ้นก็จะเกิดขึ้นกับเราเอง
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2024 เมื่อ 02:29
|