ดังนั้น..ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ากำลังใจท่านอยู่กับการภาวนาจนชิน แม้จะป่วยขนาดไหน กำลังใจก็ทรงตัวอยู่ได้ แต่ถ้าไม่ชินจะออกอาการเดียวกับหลวงปู่โคธิกะ ก็คือสมาธิหลุดหมด กำลังใจไม่พอที่จะกดกิเลส แต่หลวงปู่โคธิกะท่านไม่ได้หนักตรงกำลังใจที่จะกดกิเลส ท่านหนักใจตรงที่ถ้าทรงฌานไม่ได้ ทำให้กำลังใจไม่พอตัดกิเลส
อันดับแรก การที่เราทำสมาธิ ก็คือการที่อาศัยกำลังใจกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้สงบลงชั่วคราว แล้วถ้ากดอย่างเดียว ไม่พินิจพิจารณาเลย ถึงเวลากำลังใจนั้นดีดกลับ อาการ รัก โลภ โกรธ หลง จะมาแบบฟ้าถล่มดินทลายเลย..!
ดังนั้น..ถ้าใครถนัดการภาวนาอย่างเดียวต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง เนื่องเพราะว่าถ้าเราภาวนาแล้วไม่เอากำลังไปพิจารณา ถึงเวลาจะโดน รัก โลภ โกรธ หลง ขโมยกำลังนั้นไปใช้แทน เพราะว่าสมาธิเข้มแข็งมาก ถึงเวลาโกรธก็โกรธมาก ถึงเวลาราคะมา ราคะก็แรงมาก เพราะว่าใจเราไปจดจ่ออยู่กับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั้น ไม่ยอมไปไหน เนื่องจากสมาธิดีเกินไป
ดังนั้น..นักภาวนาจึงต้องพิจารณาเอาไว้เสมอ เพื่อที่จะได้ใช้กำลังสมาธิของเราไปได้ถูก ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเราเลี้ยงโจรไว้ปล้นตัวเอง..!
คราวนี้เมื่อเรากดกิเลสให้สงบลงได้แล้ว สภาพจิตที่ผ่องใสขึ้น เราก็จะเอามาพิจารณา ให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราในร่างกายนี้ ยิ่งเห็นชัดเท่าไร สภาพจิตก็จะถอนจากการยึดมั่นถือมั่นลงไปมากเท่านั้น
ถ้าหากไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเรา ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายคนอื่น ก็แปลว่าเพศตรงข้ามไม่มีความหมาย ถ้าทำไปถึงตอนนี้ท่านทั้งหลายอาจมีประสบการณ์เช่นเดียวกับกระผม/อาตมภาพ ก็คือมองคนสักแต่ว่าเป็นคน ไม่ได้เห็นเป็นผู้หญิงผู้ชาย มองคนเหมือนกับโต๊ะ เหมือนกับเก้าอี้ เหมือนกับพรมปูพื้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2024 เมื่อ 02:27
|