องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนในโกสิยวรรค นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์กัณฑ์ว่า "ภิกษุรับเงินและทอง หรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทองต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์" ก็คือต้องสละทิ้ง "ภิกษุรับเองหรือให้ผู้อื่นรับซึ่งเงินทองนั้น ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์" แปลว่าโดนเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าพระธรรมยุตให้ไวยาวัจกรรับแทนแล้วจะไม่โดนอาบัติตัวนี้ เพราะพระพุทธเจ้าระบุไว้ชัดเจนว่ารับเองหรือให้ผู้อื่นรับแทนก็เช่นกัน..!
ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงถึงได้สอนพวกกระผม/อาตมภาพว่า เมื่อรับเงินและทองมาแล้วอย่านำมาเป็นของตนเอง หากแต่ให้ผลักเข้ากองบุญการกุศลเพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้กับผู้ถวาย กระผม/อาตมภาพก็ปฏิบัติตามนั้นมาโดยตลอด แต่กลับไปตกอยู่ในวงจรที่ว่า "ยิ่งให้ก็ยิ่งได้"
ก็คือญาติโยมเห็นว่าเงินทองที่ถวายมาแล้วงอกเงยขึ้นมาเป็นถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาบ้าง ในการช่วยเหลือเจือจานผู้อื่นบ้าง ก็ยิ่งให้กันมากเข้าไปอีก แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็ให้เคล็ดลับไว้ว่า "เงินปีนี้อย่าใช้ให้ถึงปีหน้า ถ้ามีเงินจะเหลือถึงปีหน้า ให้คิดโครงการที่ใหญ่กว่าเงินไว้เสมอ เมื่อรับเงินนั้นมาจะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นของตนเอง"
อีกส่วนหนึ่งก็คือท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ส่วนใหญ่แล้วบรรดาลาภผลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระรูปนั้นเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องหาวิธีการที่ทำอย่างไรจะให้เงินนั้นไม่อยู่กับเรา อย่างที่ทุกท่านเห็นว่าอาตมภาพเอง "ใช้เงินเป็นเบี้ย" ก็คือไม่เห็นว่าเงินนั้นมีคุณค่าราคาเลย
ท่านเจ้าคุณอาจารย์บุญชิต ปัจจุบันนี้ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จที่พระพรหมวัชรวิมลมุนี วิ., รศ.ดร. (บุญชิต ญาณสํวโร ป.ธ.๙) ท่านเองรับปัจจัยมาเท่าไรก็เทออกหมดเท่านั้น ก็แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพ ถ้าหากว่าไปอยู่ที่วัดอุทยาน ญาติโยมทำบุญเท่าไรก็มอบให้ทางวัดอุทยานเขาเอาไปใช้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น..ท่านเจ้าคุณอาจารย์บุญชิตจะเป็นพระที่รวยมาก เพราะว่าไปไหนก็ให้เขาได้ แต่ว่าความจริงแล้วไม่มีเงินติดย่ามเลย เพราะว่าท่านเคร่งกว่าพระธรรมยุตอีก..!
ในส่วนนี้กระผม/อาตมภาพเอง นอกจากครูบาอาจารย์คือหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนมาแล้ว ยังโชคดีที่ได้เห็นครูบาอาจารย์ท่านอื่น ๆ ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัยให้เราเลียนแบบทำตามได้ แล้วทำไมพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเราไม่ไปมอง ไปมองส่วนที่ไม่เอาไหน บวชเข้ามาเพื่อที่จะหาลาภผลต่าง ๆ ขนาดหลอกลวงคนอื่นเพื่อให้ได้ลาภได้ผลมาก็เอา เสร็จแล้วก็มาใช้คำพูดแบบมักง่ายว่า "บวชพระแล้วสบาย"
ลองให้มาตื่นตี ๓ ครึ่งเจริญพระกรรมฐาน ทำวัตรเช้า ออกบิณฑบาต กว่าจะได้ฉันก็เดินเสีย ๕ กิโลเมตร..! กลับมาแล้วยังมีสารพัดงานที่รออยู่ นอกจากสิ่งที่เป็นไปเพื่อคณะสงฆ์แล้ว ยังต้องเป็นไปเพื่อชาวบ้าน เป็นไปเพื่อหน่วยราชการอีก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2024 เมื่อ 02:31
|