สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักเจริญพระกรรมฐานจะต้องเจอ ประการใดประการหนึ่งเป็นอย่างน้อย หรือบางท่านถ้ามีวิสัยพระโพธิสัตว์มา ก็จะเจอครบถ้วนทั้ง ๕ ประการเลย แต่ว่าการเจอปีตินี้ ไม่ใช่ว่าจะเจอก่อนที่จะทรงสมาธิเป็นฌาน บางท่านทรงถึงฌาน ๔ และสมาบัติ ๘ แล้ว แต่เมื่อถึงเวลา อาการปีติใหม่จะเกิดขึ้น กำลังใจก็ลดลงมาเหลือแค่อุปจารสมาธิเท่านั้น แล้วปีติก็เกิดขึ้นในตอนนั้น
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพสามารถยกตนเองขึ้นเป็นตัวอย่างได้ อาการแรกขณิกาปีติ ก็คืออาการขนลุก บางทีขนลุกหนักถึงขนาดตั้งจนกระทั่งเป็นตุ่มไปทั่วตัว อย่างที่โบราณเขาเรียกว่าหนามขนุน บางทีก็ขนลุกอยู่ทั้งวัน จนรู้สึกเจ็บผิวหนัง ต้องลูบให้ขนนั้นลดอาการลุกลงก็มี
อาการขุททกาปีติหรือว่าน้ำตาไหลนั้น กระผม/อาตมภาพไปเกิดอาการน้ำตาไหล ตอนฝึกมโมนยิทธิประมาณปี ๒๕๒๑ ตอนนั้น ทางด้านครูฝึกให้กำหนดอตีตังสญาณ ดูในเรื่องของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ ว่า ที่เรือพระประเทียบล่มนั้นเกิดอะไรขึ้น ? แล้วก็เห็นว่าความจริงพระองค์ท่านว่ายน้ำออกไปแล้ว แต่ครั้นหันกลับไปแล้วไม่เห็นพระราชธิดาเสด็จตามมา จึงได้ดำน้ำกลับไปเพื่อที่จะควานหา แล้วคลื่นก็ซัดเอาเรือพระประเทียบที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ นั้น ครอบพระองค์ท่านจมหายไป..!
ด้วยความที่เกิดความรู้สึกว่า โอหนอ..ความรักของแม่ช่างมากมายมหาศาลขนาดนี้ เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อลูกก็ยอม จึงเกิดอาการปีติ น้ำตาไหลพราก ๆ แม้ว่าจะเลิกฝึกมโนมยิทธิแล้วก็ยังน้ำตาไหล เมื่อออกมาถวายการรับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงทางด้านนอก ก็ตั้งใจว่าจะกลั้นให้หยุด
ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และญาติโยมทุกคนว่า อาการปีตินั้น เราสามารถที่จะห้ามได้ ก็คือให้หยุดก็หยุดได้ เพียงแต่ว่าพอกระผม/อาตมภาพจะกลั้นให้หยุด พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านกล่าวว่า "อย่าทำอย่างนั้นไอ้หนู ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย จะได้ผ่านไปทีเดียว ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเอ็งไปกลั้นไว้ เดี๋ยวอารมณ์ใจถึงตรงนั้นเมื่อไร ก็จะน้ำตาไหลอีก"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2024 เมื่อ 00:41
|