องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสการเกิดของหมู่สัตว์เอาไว้ว่า..
สัตว์บางจำพวก..ขณะจุติรู้ตัวอยู่ เมื่อเคลื่อนไปไม่รู้ตัว เมื่อลงสู่ครรภ์มารดาไม่รู้ตัว เมื่ออยู่ในครรภ์มารดาไม่รู้ตัว ต่อเมื่อคลอดออกมาจึงรู้ตัว
สัตว์บางจำพวก..ขณะจุติรู้ตัวอยู่ ขณะเคลื่อนไปรู้ตัวอยู่ เมื่อลงสู่ครรภ์มารดาไม่รู้ตัว ต่อเมื่อคลอดเคลื่อนออกจากครรภ์มารดาจึงรู้ตัว
สัตว์บางจำพวก..ขณะจุติรู้ตัวอยู่ ขณะเคลื่อนไปรู้ตัวอยู่ ขณะอยู่ในครรภ์มารดารู้ตัวอยู่ ขณะคลอดเคลื่อนออกจากครรภ์มารดามารู้ตัวอยู่
จำพวกสุดท้ายนี้แหละที่เกิดมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ รู้อยู่ตลอด ไม่ขาดสติ ทำให้พัฒนาการต่าง ๆ ไม่ได้หยุดชะงักลงไป ดังนั้น..เกิดมาจึงสามารถพูดได้เลย เพราะความสามารถต่าง ๆ ยังมีเหมือนชาติก่อน ๆ แล้วขณะเดียวกันถ้าไม่ใช่กำลังของเด็กทารก อาจจะเดินได้เกินกว่า ๗ ก้าวด้วย เสียดายที่ว่าเป็นร่างของเด็กทารกที่กำลังน้อยจึงเดินได้แค่ ๗ ก้าว และกล่าววาจาแต่เพียงเท่านั้น ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายศึกษาในพระไตรปิฎก อรรถกถา หรือฎีกาต่าง ๆ แล้ว จะเห็นว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติของบุคคลที่บำเพ็ญบารมีมา
แต่ว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้น มักจะเอาเรื่องของบุคคลซึ่งต้องบอกว่า ปุถุชนผู้หนาไปด้วยกิเลส ไปเปรียบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็กล่าวว่าปกติของคนทั่วไปทำไม่ได้ แล้วผู้ที่เกิดมาเพื่อตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทำได้อย่างไร ? เหมือนกับว่าถ้าเป็นบ้านเราก็บอกว่า คนทั่ว ๆ ไปก็ไม่สามารถที่จะซื้อลัมโบร์กีนีมาขี่เล่นได้ แล้วทำไมเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ หรือว่าเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี จะซื้อให้ลูกหลานขี่เล่นได้ทุกคน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้..!
ถ้าหากว่ารู้จักใช้หัวแม่เท้าตรองดูก็น่าจะรู้ถึงความต่างกันในฐานะ ในเมื่อไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซ้ำยังดึงเอาสมเด็จพระบรมครูลงมาเทียบเท่ากับปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลสทั่ว ๆ ไป จึงไปกล่าวว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าในเมื่อท่านขาดความศรัทธา ก็ไม่ก้าวเข้ามาในพระพุทธศาสนา เมื่อไม่ก้าวเข้ามาโอกาสที่จะได้แนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้องก็ไม่มี
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2024 เมื่อ 10:02
|