สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นหน้าที่ของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ที่จะต้องดำเนินไปเพื่อให้เป็นไปตามปณิธานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า ให้พวกเราทำประโยชน์เพื่อคนหมู่มาก สร้างความสุขให้แก่คนหมู่มาก อนุเคราะห์ให้แก่โลก แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะเป็นไปด้วยดีไม่ได้ถ้าเราขาดหลักธรรม โดยเฉพาะในส่วนของพรหมวิหาร ๔ และสังคหวัตถุ ๔
พรหมวิหาร ๔ ก็คือต้องมีการสงเคราะห์โดยไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง ที่เรียกว่า อัปปมัญญาพรหมวิหาร แล้วขณะเดียวกัน ในเรื่องของสังคหวัตถุ ๔ ก็คือมีทาน การให้เป็นปกติ มีปิยวาจา รู้จักพูดในสิ่งที่ดี แนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ อัตถจริยา สร้างประโยชน์ให้เขาก่อน เพื่อที่เขาเห็นประโยชน์แล้ว จะได้ทำตามที่เราต้องการ
และท้ายที่สุด สมานัตตตา ตัวเราปรารถนาความสุข รังเกียจความทุกข์ เราก็อย่าเบียดเบียนผู้อื่น ให้ทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้โดยเสมอต้นเสมอปลาย ก็จะยึดโยงสังคมของเราให้มารวมอยู่ในเขตของพระพุทธศาสนาได้
ขณะเดียวกัน ก็เป็นไปตามทฤษฎี "บ ว ร" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ซึ่งได้กำหนดแนวทางเอาไว้ว่า บ้าน วัด โรงเรียน และส่วนราชการ ต้องประสานเข้าหากัน จึงจะสามารถทำให้สังคมของเราเป็นไปโดยคล่องตัวและสงบสุข เพียงแต่ว่าในปัจจุบันนี้ ยังมีบางส่วนที่มีข้อตำหนิอยู่ตรงที่ว่า ยังทำเพื่อพวกพ้องและตนเอง..!
เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ก็เป็นธรรมดาของปุถุชนทั่วไป จึงเป็นภาระที่พวกกระผม/อาตมภาพ จะต้องขัดเกลาท่านทั้งหลายเหล่านั้นต่อไป เพื่อให้กำลังใจของเขา ลดความเห็นแก่ตัว เพิ่มความเห็นแก่ส่วนรวมให้มากขึ้น แล้วท้ายที่สุดทุกคนก็จะมาร่วมมือกันกระทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม เพื่อส่วนรวม โดยที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนจนเกินไป
ในวันวิสาขบูชาของเรานั้น นอกจากในเรื่องให้ทุนการศึกษาแล้ว เราก็ยังมีการทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม ถวายภัตตาหารสังฆทาน ซึ่งเป็นไปตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา พิจารณาว่าสิ่งใดกระทำแล้วดีงาม เป็นประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น เราก็เลือกกระทำสิ่งนั้น ๆ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-05-2024 เมื่อ 01:39
|