ดังนั้น..การรู้เห็นที่เป็นของแถมในการปฏิบัติ จึงมักจะมีโทษมากกว่าประโยชน์ พรรคพวกของกระผม/อาตมภาพคนหนึ่ง จะโดนเขากระทืบตายเหมือนกัน เพราะดันไปบอกเมียของอีกคนหนึ่งว่า "คุณเคยเป็นเมียผมมาก่อน" ทั้ง ๆ ที่ผัวเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนั้น..!
อย่าลืมว่าเรื่องที่ตัวเองพูดเป็นเรื่องในอดีต ผ่านมาจนกระทั่งคนอื่นเขาจำกันไม่ได้แล้ว แค่รับรู้ไว้เฉย ๆ ก็พอ ดันทะลึ่งไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ แล้วส่วนใหญ่ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิกัน ก็มักจะเป็นแบบนี้ ก็คือรู้แล้วก็ไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่
มโนมยิทธิ หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนให้เรารู้เพื่อละ ไอ้เจ้าพวกนี้รู้แล้วไปยึด คนที่ลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ ไปกอดคอกันเป็นพรวน ก็จะจมน้ำตายกันทั้งคณะ..! ต้องรีบตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเอาตัวรอดให้ได้ก่อน แล้วค่อยหันกลับไปช่วยคนอื่น
ดังนั้น..ขอย้ำอีกครั้งว่า การรู้เห็นนั้น เราควรที่จะรู้เพื่อละ ส่วนที่ควรรู้ที่สุด คือกำลังใจของตนเองว่า มี รัก โลภ โกรธ หลง หรือไม่ ? ถ้ามีอยู่ เร่งขับไล่ออกไป แล้วระมัดระวังไว้ อย่าให้กลับเข้ามา กำลังใจของเรามีความดีอยู่หรือไม่ ? ถ้ายังไม่มี ทำให้มีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้ว ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ถึงจะเป็นการรู้ใจที่เกิดประโยชน์ที่สุด
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2024 เมื่อ 03:37
|