เมื่อเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อไป เพื่อที่จะไปยังจุดหมายปลายทางในคืนนี้ ก็คือบริเวณปากทางเข้าหุบเขาจิ่วไจ้โกว ปรากฏว่าวันนี้อากาศแปลกมาก เพราะว่าตั้งแต่เช้าก็ฟ้าเปิด แดดจัดเป็นอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วเราคงจะถ่ายรูปหมีแพนด้าหาความสวยไม่ได้เลย ถ้าหากว่าฟ้ามืดครึ้มแล้ว หมีแพนด้าก็ตัวกระดำกระด่างแบบนั้น บางทีอาจจะถ่ายไม่ติดเสียด้วยซ้ำไป..!
ปรากฏว่าฟ้าเปิดยาวยืดมา จนกระทั่งพวกเรามาถึงเมืองโบราณซงพาน ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่มีมาเป็นพันปีแล้ว พวกเราได้เข้าไปชมบริเวณเมือง ซึ่งยังอนุรักษ์กำแพงเมืองหนา ๓ จั้ง เอาไว้ได้ ซึ่งคำว่าจั้งก็เป็นความยาวประมาณ ๓ เมตรเศษ ดังนั้นกำแพงเมืองหนา ๓ จั้ง ก็คงประมาณ ๑๒ เมตรของเรา เข้าไปภายในก็มีสินค้าที่ระลึก และข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยเฉพาะรูปหล่อชาวเมืองโบราณที่ทำจากโลหะ เป็นวิถีชีวิตชาวบ้านที่ต้องอาศัยม้าในการขนใบชาไปจำหน่าย จนกระทั่งบางทีเรียกกันง่าย ๆ ว่า "ชาม้า"
แต่ละคนก็หามุมถ่ายรูป และซื้อของกินกันตามอัธยาศัย โดยเฉพาะเหมาหนิวโร่ว หรือว่าเนื้อวัวจามรี ซึ่งทำในลักษณะเหมือนกับสเต๊ก แต่ว่าใส่พวกผงหมาล่าเป็นเครื่องปรุงรส ไม้ละ ๑ หยวนเท่านั้น ดูแล้วถ้าเป็นบ้านเราก็คงประมาณ "หมูปิ้งไม้ละ ๑ บาท" ทำให้จำหน่ายได้ดีเป็นพิเศษ
จนกระทั่งพวกเรากลับขึ้นรถมาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เวลา ๖ โมงครึ่งก็วิ่งออกจากเมืองโบราณซงพาน ปรากฏว่าอุณหภูมิลดฮวบ ๆ ลงไป จนเหลือแค่ ๙ องศาเซลเซียสเท่านั้น..! โดยเฉพาะบริเวณด้านข้างถนนนั้น เห็นยอดเขาหิมะโผล่มารำไรทีเดียว แต่ปรากฏว่าเมื่อวิ่งต่อไป จนกระทั่งถึงเวลาทุ่มกว่า ถนนก็เป็นทางลาดลงยาวตลอด เพื่อไปลงยังปากหุบเขาจิ่วไจ้โกว จึงทำให้อุณหภูมิขึ้นมาที่ ๑๓ - ๑๔ องศาเซลเซียส
พวกเรามาถึงโรงแรมที่พักเวลา ๒ ทุ่มโดยประมาณ ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวคณะอื่นมาด้วย จึงเบียดเสียดเยียดยัดกันหน่อย กระผม/อาตมภาพเข้าสู่ห้องพักได้ ก็รีบบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เพื่อที่จะนำมาออกทางช่อง YouTube ให้แก่ญาติโยมทั้งหลายได้ฟัง ส่วนพรุ่งนี้ก็จะไปยังจุดมุ่งหมายในการเดินทางครั้งนี้ ก็คือสวรรค์บนดิน หรือว่าอุทยานแห่งชาติจิ่วไจ้โกว มรดกโลกของประเทศจีนนั่นเอง
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2024 เมื่อ 04:54
|