แล้วต้นไม้ก็เหมือนกับเสาในศาลาของเรา ก็คือสูงชะลูดขึ้นไป ๓๐ - ๔๐ เมตร ไปมีใบอยู่บนยอดหน่อยหนึ่ง เนื่องเพราะว่าแย่งอากาศ แย่งแสงแดดกัน ต้องต่างคนต่างสูงเอาไว้ มองไปทีหนึ่งได้ไกลลิบเลย เพราะว่าข้างล่างมีแต่ต้น ต้นไม้ใบหญ้าเล็ก ๆ ก็แทบจะไม่มีขึ้น เพราะว่าแดดส่องลงมาไม่ถึง เดินไป..เดินไป แทนที่จะได้ตัวเมตตาพรหมวิหาร กลายเป็นสังขารุเปกขาญาณแทน ก็คือเหลือแต่ความคิดเดียวว่า "ตายแน่..ตายแน่..ตายแน่..!"
แม้กระทั่งหลุดไปอยู่กลางดงควายป่า ๓๐ - ๔๐ ตัว ความจริงไม่ใช่ควายป่าแท้ แต่เป็นควายที่ชาวกะเหรี่ยงเขาปล่อยเลี้ยงไว้ในป่า บางคนเรียกควายปละบ้าง ควายเพลิดบ้าง พวกนี้พออยู่ป่าไป สัญชาตญาณสัตว์ป่ากลับคืนมาหมด เหมือนกับควายป่าดี ๆ นี่เอง หลุดเข้าไปอยู่กลางดงควายป่า ๓๐ - ๔๐ ตัว ก็ต้องเหลือแต่ "ตายแน่" แล้ว ไม่เหลืออะไร ตอนนั้นความสามารถมีเท่าไร ต้องงัดออกมาใช้จนหมด จึงกลายเป็นว่าไม่ได้อัปปมัญญาพรหมวิหารอย่างที่ต้องการ แต่เลยเถิดไปยันสังขารุเปกขาญาณ ไม่บรรลุในป่าก็บุญโขแล้ว..!
ระหว่างที่อยู่ข้างในนั้น ก็โดนทั้งผีทั้งเทวดากลั่นแกล้ง เล่นงานอยู่ทุกวัน สภาพจิตทรงตัวเปรี๊ยะ ไม่หลุดเลยทั้งกลางวันกลางคืน ภาวนาเองโดยอัตโนมัติเพราะความกลัว ขอยืนยันว่าเป็นความกลัว เพราะพยายามดูตัวเองแล้วว่าไม่กลัวไม่ใช่หรือ ? ปรากฏว่ายังมีเย็นสันหลังวาบ ๆ อยู่ แปลว่ายังกลัวอยู่ เพียงแต่กลัวแบบมีสติ คือเจอแล้วไม่หนี เจอผีก็กล้าคุยกับผี เจอสัตว์ร้ายก็กล้าเผชิญหน้า แต่ว่ากลัว..!
เมื่ออยู่ข้างในนั้นครบ ๕ วัน ค่อยเดินทางกลับออกมา ปรากฏว่าสภาพจิตที่อยู่กับการภาวนาทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืน ทั้งนั่ง ไม่เคยหลุดจากสมาธิเลย ออกมาถึงจุดนั้น จำได้ว่าเดินจากตรงนี้ไป ไม่เกินสองชั่วโมง จะถึงหมู่บ้าน สมาธิหลุดตอนไหนไม่รู้ ? จากที่อยู่กับการภาวนา ก็ไปชมนกชมไม้แทน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2024 เมื่อ 02:50
|