ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 21-04-2024, 00:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,903 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ช่วงเช้ากระผม/อาตมภาพพาพระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุนออกบิณฑบาตตามปกติ

เรื่องของวัตรปฏิบัติเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต เจริญกรรมฐาน ทำความสะอาดวัด เป็นสิ่งที่พระภิกษุสามเณรของเราต้องทำเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บางท่านอาจจะบอกว่า ทำซ้ำ ๆ กันอยู่ทุกวัน แต่กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า ถ้าท่านทำเป็น ไม่มีคำว่าซ้ำอย่างเด็ดขาด..!

อย่างเช่นสมัยที่กระผม/อาตมภาพบวชใหม่ ๆ อยู่ที่วัดท่าซุงนั้น พยายามที่จะรักษาอารมณ์ภาวนาในขณะที่บิณฑบาต ตั้งแต่ต้นทางจนกระทั่งกลับมายังวัดอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าด้วยระยะทางประมาณ ๒ กิโลเมตรครึ่ง ก็สมาธิเคลื่อน หลุดแล้วหลุดอีก วันที่สามารถทรงอารมณ์ได้ตลอดเส้นทาง ทั้งไปและกลับเป็นวันแรก รู้สึกปีติมาก เหมือนจะเหาะจะบินได้ มั่นใจว่าถ้าเรารักษาอารมณ์ได้ตลอดเช่นนี้ โอกาสที่เราจะก้าวถึงมรรคถึงผลย่อมมีแน่นอน เพราะว่าเราสามารถที่จะควบคุมตนเองได้ ตั้งแต่ต้นทางตลอดจนปลายทางแล้ว

เนื่องเพราะว่าการบิณฑบาตแต่ละวัน แต่ละครั้ง สิ่งที่เข้ามารบกวนอารมณ์ต่าง ๆ กันไป โดยเฉพาะมาจากญาติโยมที่ถึงเวลาลงมาใส่บาตร บางทีก็ไม่ได้นึกถึงความเหมาะสมอะไรเลย เนื่องเพราะว่ายังอยู่ในชุดนอนไม่มีแขน แถมกางเกงก็สั้นเลยเข่าขึ้นมาเป็นคืบ ต่อให้พระสำรวมสายตา มองต่ำขนาดไหน ก็เห็นขาวโพลนไปหมด ถ้าไม่อยู่กับอารมณ์ภาวนา รับรองได้ว่าฟุ้งซ่านไปหลายวัน โดยเฉพาะบางท่านที่คุณแม่ใจดี ให้อะไรต่อมิอะไรมามากมาย ถึงเวลาก้มหน้าสำรวม ปรากฏว่าก้มอย่างไรก็ก้มไม่พ้น จึงทำให้เป็นเรื่องที่พระหนุ่มเณรน้อย ต้องลำบากใจอยู่เสมอ..!

ดังนั้น..สิ่งที่เราทำซ้ำ ๆ กันอยู่ทุกวัน เราต้องคอยกำหนดพิจารณาอยู่เสมอว่า เราสามารถทำวันนี้ได้ดีกว่าเมื่อวานหรือไม่ ? เป็นการแข่งขันกับตัวเองไปโดยปริยาย ทำให้ไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติ และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นี่แหละ ที่หลายคนเห็นเป็น "หญ้าปากคอก" คือเป็นกิจวัตรที่เราต้องทำอยู่ทุกวัน แล้วก็ไปประมาท ทำบ้างทิ้งบ้าง

กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า ท่านทั้งหลายขนาดเป็นพระภิกษุสามเณร แม่ชี หรืออุบาสกอุบาสิกาผู้รักษาศีล ๘ ยังต้องกินอาหารถึงวันละสองมื้อ นั่นคืออาหารที่เข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย แต่ว่าท่านทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรม จำเป็นที่จะต้องหาอาหารมาหล่อเลี้ยงใจของตนเอง ถ้าหากว่าท่านไม่กินเอาไว้ทุกวัน ใจของท่านไปแสวงหาอาหารเอง ก็มักจะเป็น ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อเข้ามา ก็ทำให้จิตใจของเรายิ่งมืดบอด ยิ่งห่างไกลจากความดีไปเรื่อย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2024 เมื่อ 00:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา