ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าท่านทั้งหลายเคยฟังสิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดมานานแล้ว หลายต่อหลายวาระด้วยกัน ก็จะได้ยินกระผม/อาตมภาพบอกว่า "ท่านทั้งหลายต้องปฏิบัติในศีล จนกระทั่งถึงระดับที่ขยับตัว ก็รู้ว่าเราจะศีลขาดหรือไม่ ถึงจะใช้ได้"
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็แปลว่า สิ่งที่พระท่านทำนั้น แม้ว่าจะไม่ต้องอาบัติ ไม่ผิดศีล ยกเว้นว่าไปทำในบ้าน หรือว่าไปนั่งในบ้าน แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำนั้น จะเป็นโอกาสให้ท่านพลาดได้ในครั้งหน้า หรือว่าในโอกาสหน้า ถ้าท่านไปในบ้านแล้วทำเช่นนั้น ก็แปลว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ต่อไปต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้
แม้แต่ญาติโยมทั้งหลายก็ตาม ถ้าหากว่าท่านปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญา เพื่อหวังความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม หวังให้สภาพจิตของตนละเอียดยิ่งขึ้น เข้าถึงธรรมในส่วนที่ละเอียดมากขึ้น ท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง อย่าให้ละเมิดศีล โดยเฉพาะในส่วนของศีล ๕ นอกจากเราจะไม่ละเมิดด้วยตนเองแล้ว ยังต้องระมัดระวังไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดในศีลทั้ง ๕ ข้อ
และขณะเดียวกัน ถ้าเราระมัดระวังรักษาไม่ให้ผิดพลาดด้วยตนเอง ระมัดระวังไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเกิดความผิดพลาดไปละเมิดศีลทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ท่านยังต้องระมัดระวังอีกว่า เมื่อเห็นผู้อื่นกระทำแล้ว เราไม่ยินดีด้วย ถ้าสามารถทำได้ดังนี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีศีลสิกขานั้นบริสุทธิ์บริบูรณ์
อย่าลืมในสิ่งที่กระผม/อาตมภาพบอกว่าสิกขาบทนั้น ก็แปลว่าข้ออื่น ๆ ถ้าหากว่าท่านยังมีส่วนในการละเมิดลักษณะนี้ ก็แปลว่าศีลของเรายังไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าอย่างนั้นการก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น ก็คือพระโสดาบัน ก็ไม่อาจเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลายได้
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2024 เมื่อ 01:02
|