แล้วการธุดงค์ในสมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ไปธุดงค์เกินครึ่งเป็นพวกที่อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ยาก..! มีความประพฤติแบบที่วัยรุ่นเขาว่า "ไม่สนโลก"
กระผม/อาตมภาพเจอมากับตัวเองเลย พักอยู่รวมกัน ๗ - ๘ คน พ่อเจ้าประคุณตื่นตี ๑ ครึ่ง กูก็ห่มผ้า ปูอาสนะ สวดมนต์ทำวัตรสนั่นหวั่นไหวอยู่คนเดียว ไม่สนใจว่าคนอื่นจะหลับจะนอนอย่างไร..! ดังนั้น..ในเมื่ออยู่ร่วมกับใครไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องออกป่า
คราวนี้การออกป่าแทนที่จะขัดเกลานิสัยของตนเอง กลับกลายเป็นปลีกตัวหนีจากสังคม เพื่อไปทำอะไรตามใจตนเอง โอกาสที่จะได้ดี ก็เลยหาไม่ได้หนักเข้าไปอีก บางรายก็เข้าไปดูดยาบ้า พอเรี่ยวแรงเหลือเฟือขึ้นมา ก็วิ่งแข่งกันขึ้นเขา แช่งให้เป็นลมตาย ก็ไม่เป็นสักที..! บางทีคึกจนหาทางออกไม่ได้ ก็เอามีดสปาตาร์ฟันหัวกัน..! กระผม/อาตมภาพก็ต้องแบกออกมารักษาอีก..!
ดังนั้น..ภาพพจน์ของพระธุดงค์สมัยปัจจุบันจึงตกต่ำไปมาก โดยเฉพาะพวกหากินด้วยการโบกรถ คนที่อยากได้บุญว่าไปส่งพระธุดงค์ พอให้ขึ้นเท่านั้นแหละ..ไม่ลงหรอก..! จนกว่าจะถวายปัจจัยค่ารถเท่านั้นเท่านี้ ถึงจะยอมลง กลายเป็นแก๊งหากินข้างถนนไปอีก
ถ้าท่านทั้งหลายจะประพฤติในธุดงควัตร ก็ศึกษาว่า ๑๓ หัวข้อเราทำอะไรได้บ้าง แล้วทำอยู่ในวัดก็ได้ เพราะไม่ได้บังคับว่าต้องเดินดง ยกเว้นข้อที่ว่าอยู่ป่าช้าเป็นวัตร วัดของเราก็ไม่มีป่าช้า มีแต่ที่เก็บกระดูก ก็เลือกเอาว่าเราถือข้อไหนได้ โดยที่ไม่ทำให้ตนเองแปลกแยกจากเพื่อนฝูงมากนัก ก็ทำไปตามนั้น เป็นการหาหลักยึดหลักปฏิบัติสักอย่างหนึ่งที่เป็นของตัวเอง จะได้ขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนให้ดีขึ้น
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2024 เมื่อ 02:33
|