| 
				 ทุกข์นั้นมีอยู่จริง 
 
			
			ทุกข์นั้นมีอยู่จริง   
 ในวันรุ่งขึ้น เพื่อนของผมท่านก็ปฏิบัติพระกรรมฐานเรื่องทุกข์  โดยยกเอาทุกข์ของขันธ์ ๕ หรือการมีร่างกายนั้นเป็นทุกข์อย่างไร เป็นธัมมวิจัย มีความสำคัญว่า ทุกข์นั้นมีอยู่จริง แต่คนที่จะเห็นทุกข์นั้นหายากเต็มทน (แต่พอตาไปเห็นเด็ก ๒ คน ขึ้นไปเดินเล่นอยู่บนดาดฟ้า เหนือพระชำระหนี้สงฆ์ จิตก็นึกตำหนิกรรมของเด็ก ๒ คนนั้นว่าไม่สมควร)  หลวงพ่อฤๅษีท่านก็เมตตามาสอนรายละเอียดให้ มีความสำคัญ ดังนี้
 
 ๑.	การที่จะรู้ว่าควรหรือไม่สมควรนั้น ต้องรู้ที่จิตตนเอง ไม่ใช่ไปรู้ที่จิตของผู้อื่น" (ก็คิดว่าท่านมาเตือนเราเรื่องจงอย่าไปสนใจกรรมของผู้อื่น ให้รู้วาระจิตของตนเองเท่านั้นเป็นพอ)
 
 ๒.	 หลวงพ่อก็สอนต่อไปว่า ใช่ เอ็งคิดถูก แต่ควรจะทำให้ถูกด้วยจึงจะดี เพราะพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้รู้ตนเอง ไม่ใช่ไปรู้ที่คนอื่น โลกภายนอกมันกว้างเกินไปจบยาก สู้รู้แค่โลกแคบ ๆ ภายในของตนเองนี่ ไล่มันให้จน จนจริง ๆ นะ คือรู้หมด จนมันดิ้นไปไม่ได้ด้วยกิเลสทั้งปวง อย่างนั้นจบแน่
 
 ๓.	 ธรรมภายนอกนั้น มันเห็นนะ เห็นแน่ เพราะเรายังมีอายตนะสัมผัส แต่เห็นแล้วก็จงน้อมเข้ามาเป็นธรรมภายใน สัมผัสให้มันเกิดประโยชน์ เห็นและเข้าใจในธรรมนั้น ๆ ไม่ตำหนิธรรม ดูให้เป็น คือ เห็นธรรมดาของธรรมนั้น ๆ จิตมันก็จะสบายไม่รุ่มร้อน ไม่ปรุงแต่งธรรม แต่เห็นในธรรม อารมณ์มันก็จะสบาย  (ก็นึกว่า ท่านพูดง่ายเหลือเกิน)
 
 ๔.	 หลวงพ่อก็ตอบว่า ก็ง่ายสิ มันจะยากอะไร ตั้งใจมีสติกำหนดรู้ทุกข์เสียอย่างเดียว เห็นกฎของกรรมชัด จิตมันก็จะยอมรับ ปล่อยวางอารมณ์ปรุงแต่งอันที่จะทำให้เกิดทุกข์ เกิดการกระทำของกาย วาจา ใจ ให้เป็นกรรมเกิดขึ้น แค่นี้เองง่าย ๆ (ก็นึกบ่นอยู่ในใจว่า เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา)
 
 ๕.	 หลวงพ่อท่านก็ว่า ห้ามบ่น พ่อไม่ชอบคนปากเปียกปากแฉะ เพราะบ่นไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เสียเวลา เอาเวลาที่บ่นนั้นไปปฏิบัติธรรมให้เกิดประโยชน์ดีกว่า ก็รับปากท่าน
 
 ๖.	 เอ็งอย่ารับปากส่งเดช ต้องทำให้ได้ด้วย เลิกบ่นท้อใจเสียที อาการบ่นคืออาการเสียกำลังใจ อย่าทำให้พ่อได้ยินหรือได้เห็นอีก
 
			
			
			
			
				  |