วันนี้ขณะที่กำลังรอเวลาฉันเพล ก็ได้ยินนักเรียนนักธรรมชั้นโทของวัดท่าขนุน มีท่านจิตร (พระจิตติพัฒน์ อินฺทปญฺโญ) เป็นต้น เดินท่องธัมมุทเทส ๔ ประการมา ได้บ้างไม่ได้บ้าง กระผม/อาตมภาพก็เลยท่องย้อนให้ฟังรอบหนึ่ง ปรากฏว่าวันนี้ออกเป็นข้อสอบจริง ๆ
ธัมมุทเทส ๔ ประการ ข้อที่ ๑ โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำไปไม่ยั่งยืน ก็คือไม่ว่าจะคน จะสัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ ก้าวไปหาความแก่ ความเก่า ความเสื่อมทั้งหมด
ข้อที่ ๒ โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน ก็คือต้องอาศัยพึ่งพิงคนอื่นเสมอ เป็นเด็กก็พึ่งพิงผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ก็พึ่งพิงหนุ่มสาว ต่อให้เป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ก็ต้องพึ่งพิงเสวกามาตย์ต่าง ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือโลกนี้มีแต่ความไร้สาระ ไม่สามารถที่จะยืนหยัดได้ด้วยตนเอง
ข้อที่ ๓ โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละในสิ่งทั้งปวง ก็คือแม้แต่ร่างกายนี้ก็ยึดถือมั่นหมายไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องสละละทิ้งไปหมด เพราะฉะนั้น..สิ่งอื่นทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสมบัตินอกกาย นอกเสียจากบุญกุศลที่เราได้สร้างเอาไว้ ซึ่งถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็ติดตัวข้ามชาติข้ามภพไป นอกนั้นแล้ว อย่างอื่นทั้งหมดล้วนแล้วแต่ต้องทิ้งไว้กับชาตินั้น ภพนั้น กายสังขารนั้น ๆ
ข้อสุดท้าย โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ก็คือทุกคนมีความอยาก ต่อให้บอกว่าไม่อยาก ก็เป็นความอยาก ไม่อยากแก่ คืออยากจะไม่แก่ ไม่อยากเจ็บ คืออยากจะไม่เจ็บ ไม่อยากตาย คืออยากจะไม่ตาย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โลกเราจึงเป็นสิ่งที่เติมเท่าไรไม่รู้จักเต็ม เพราะว่ากำลังใจของเรายังไม่รู้จักคำว่าพอ
ดังนั้น..จะว่าไปแล้ว ในเรื่องของการเรียนทุกอย่าง ถ้าหากว่าเราเรียนแล้ว รู้จักนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ก็จะเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตัวเราเป็นอย่างยิ่ง ก็คือเรียนในลักษณะของนิสรณัตถปริยัติ เรียนเพื่อความหลุดพ้น หรือถ้าไปไม่ถึงระดับนั้น ก็เรียนในลักษณะภัณฑาคาริกปริยัติ เรียนแบบคลังเก็บความรู้ เพื่อรอบอกต่อ สอนต่อ แก่คนอื่นให้รู้ตาม เผื่อเขาจะมีความสามารถไปใช้งานจริงได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-12-2023 เมื่อ 01:51
|