ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๖
ญาติโยมทั้งหลายน่าจะทราบแล้วว่าในเรื่องของการสร้างบุญกุศลก็มีทาน มีศีล มีภาวนา เป็นหลัก คราวนี้ในเรื่องของทานนั้นเป็นบารมีต้น เรื่องของศีลเป็นบารมีกลาง เรื่องของภาวนาเป็นบารมีสูงสุดหรือบารมีตอนปลาย เรื่องพวกนี้ข้ามขั้นไม่ได้ แต่ถ้าสูงกว่าทำของต่ำกว่าได้เป็นปกติ
เพราะฉะนั้น..คนที่ให้ทานได้ไม่ได้หมายความว่าจะรักษาศีลได้ แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงภาวนา ตะกายไม่ถึงแน่นอน ส่วนคนที่รักษาศีลได้ก็ยังภาวนาไม่ได้
ดังนั้น..การที่พวกเรามานั่งอยู่ตรงนี้ได้ แปลว่าเราเป็นบารมีขั้นปลาย หรือที่เรียกว่าปรมัตถบารมี ปรม (ยิ่งกว่า) + อัตถ (การก่อให้เกิดประโยชน์) ก็คือก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อตัวเรา ประโยชน์ที่นี้เขาหมายเอาประโยชน์ใน ๓ สถาน ได้แก่
ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ เห็นผลในชาติปัจจุบัน ก็คือถ้าใจเราสงบเยือกเย็นเราก็จะมีสติ รู้จักยั้งคิด พิจารณาแล้วว่าอะไรไม่ดีเราก็ไม่ทำ ที่เคยทำก็สลัดทิ้งไป พิจารณาว่าอะไรดีถ้าเรายังไม่มีเราก็ทำให้มีขึ้นมา ถ้าหากว่ามีแล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ตรงส่วนนี้เรียกว่าทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ที่เห็นทันตาในปัจจุบัน
ประโยชน์สถานที่สองเรียกว่า สัมปรายิกัตถประโยชน์ ประโยชน์สำหรับชาติต่อ ๆ ไป นี่แปลว่าสิ่งที่เราทำก็คือสมาธิภาวนา..ต้องทรงตัว ถ้ารักษาศีลก็ต้องรักษาได้แน่นอน อย่างชนิดที่ตัวตายไม่ยอมให้ศีลขาด ถ้าอย่างนี้คำว่าสัมปรายิกัตถประโยชน์ ก็คือก่อให้เกิดประโยชน์ในชาติถัด ๆ ไป ก็คือเราจะมีคติ คือที่ไปแน่นอน ว่าจะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ต่อให้อย่างแย่ ๆ ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นมนุษย์ชั้นดี
คำว่า มนุษย์ชั้นดี ในที่นี้ก็คือสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ มีจิตใจเป็นกุศลพร้อมที่จะสละออก เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิไม่เห็นผิดเป็นชอบ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2023 เมื่อ 01:51
|