ในเมื่อกำลังใจต่างกัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะมาวัดกันได้ แล้วถ้าหากว่าท่านทั้งหลายยังมัวแต่เป็นห่วงเป็นใยกระผม/อาตมภาพอยู่แบบนี้ ก็เชื่อว่าเรื่องที่ท่านจะประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วให้เกิดความก้าวหน้านั้นก็เป็นไปโดยยาก เนื่องเพราะว่าท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะตัดอาลัย ตัดความยึดโยงต่าง ๆ ในตัวบุคคลลงไปได้ 
 
ในเรื่องของพุทธานุสติ คือการระลึกถึงพระพุทธเจ้า ธัมมานุสติ คือการระลึกถึงพระธรรม สังฆานุสติ คือการระลึกถึงพระสงฆ์นั้น เราระลึกในคุณงามความดีของท่าน ไม่ใช่ระลึกด้วยการยึดถือตัวตนของท่านเป็นหลัก ถ้าหากว่ายึดถือตัวตนของท่านเป็นหลัก แปลว่าเรายึดผิดแล้ว 
 
เนื่องเพราะว่าแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว พระธรรมของพระองค์ท่านก็อยู่แค่ ๕,๐๐๐ ปีตามพุทธพยากรณ์เท่านั้น พระสงฆ์ครูบาอาจารย์ก็มรณภาพ หรือว่าเสียชีวิตไปแล้วมากต่อมากด้วยกัน แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่กระผม/อาตมภาพเห็นว่าท่านวิเศษเลิศล้น ก็คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านก็มรณภาพไปแล้ว 
 
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่บอกพวกเราอย่างชัดเจนว่า ถ้าเรายึดผิด ที่พึ่งของเราก็ไม่แน่นอน แต่ถ้าหากว่าเรายึดถูก เราก็ไม่ต้องเสียเวลาที่จะมาเสียอกเสียใจ หรือว่าเป็นห่วงเป็นใยผู้หนึ่งผู้ใด จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องตระหนักและสังวรระวังกันเอง 
 
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้ว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตก็เป็นได้แต่เพียงผู้บอกเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายแม้ว่าจะบอกกล่าวแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะทำแทนกันได้  
 
เมื่อถึงเวลาบอกไปแล้ว ถ้าไม่ทำ ท่านทั้งหลายก็ต้องทุกข์ยากเดือดร้อนเอง เวียนว่ายตายเกิด ทนทุกข์ทรมานกันเอง ไม่สามารถที่ครูบาอาจารย์จะบอกกล่าว หรือว่าไปฉุดชักท่านให้พ้นสิ่งเหล่านั้น เพราะว่าท่านเต็มอกเต็มใจที่จะวิ่งลงไปหาความทุกข์เหล่านั้นเอง..!
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2023 เมื่อ 03:17
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |