สำหรับการหายตัวนั้น มีอยู่สองแบบด้วยกัน การหายตัวแบบแรกเกิดจากอำนาจของกสิณเช่นกัน เรียกว่านีลกสิณ ไม่ใช่หายไปจากสถานที่นั้น แต่ว่าหายไปจากสายตาของผู้ที่ดูอยู่ ตัวเรายังอยู่ที่เดิม ดังนั้น..ในจุดที่ว่าการหายตัวน่าจะเร็วกว่าการเหาะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าการหายตัวนั้น อธิษฐานอำนาจของนีลกสิณในการบดบังสายตาผู้อื่น ถ้าหากว่าผู้อื่นมองไม่เห็น ก็เหมือนกับหายไปจากตรงนั้นนั่นเอง
ส่วนอีกประการหนึ่งนั้น เป็นการแสดงสภาวะจิตที่ละเอียดกว่า อย่างเช่นว่า ถ้าเป็นเทวดานางฟ้าแสดงสภาวะจิตที่ละเอียดกว่า ก็จะหายไปจากสายตาของเรา อยู่ในลักษณะของการหายตัวเหมือนกัน หรือว่าพรหมแสดงสภาวะจิตที่ละเอียดกว่า ก็จะหายไปจากสายตาของเทวดานางฟ้า ในลักษณะหายตัวเช่นกัน
หรืออย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงสภาวะจิตของพระนิพพาน ทำให้ท้าวผกาพรหมไม่สามารถที่จะหาพระองค์ท่านเจอ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ท่านก็ประทับอยู่ตรงหน้านั่นเอง หรืออย่างที่พญามาร ไม่สามารถที่จะหาดวงจิตของพระโคธิกเถระได้พบ ก็เพราะว่าสภาวะจิตของพระโคธิกเถระนั้น เข้าสู่สภาวะพระนิพพานที่ละเอียดกว่ามารหลายเท่า
ดังนั้น..ในเรื่องของการหายตัวไม่ใช่หายไปจากสถานที่นั้น ยังอยู่ในสถานที่นั้น แต่ว่าบดบังสายตา หรือการรับรู้ของผู้อื่นด้วยอำนาจกสิณอย่างหนึ่ง การแสดงสภาวะของตนที่ละเอียดกว่า จนกระทั่งฝ่ายหยาบไม่สามารถที่จะสัมผัสได้อีกอย่างหนึ่ง จึงทำให้การหายตัวนั้นไม่ใช่การเดินทาง ถ้าหากว่าหายตัวแล้วเราก้าวเดินไป ก็จะทำให้ได้แค่ในระยะทางที่ไม่ไกลเท่านั้น
ส่วนในเรื่องของการย่นระยะทางนั้นก็เป็นไปได้สองสถานเช่นกัน สถานแรกก็คือการภาวนาคาถาย่นระยะทาง ซึ่งการภาวนาคาถานั้น เมื่อกำลังของเราเพียงพอก็จะเกิดอาการที่ภาษาบาลีเรียกว่า มโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ เมื่อภาวนาคาถาแล้ว ต้องการไปที่นั่นที่นี่ จะไปได้เร็วกว่าปกติ ดังนั้น..การภาวนาคาถานี้จึงเรียกว่าการย่นระยะทางที่ถูกต้องที่สุด
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2023 เมื่อ 18:09
|