เรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้นจะว่าไปแล้ว โบราณถือว่าเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องมงคล ก็คือถ้าหากว่า "มีแมวมาหา หมามาสู่" แปลว่าสถานที่นั้นร่มเย็น เป็นที่ไว้วางใจ สัตว์ทั้งหลายจึงมาอยู่อาศัยด้วย แต่ถ้าหากว่าพิจารณาจากจำนวนหมาในวัด ที่เกือบ ๆ จะสองสามร้อยตัวแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เห็นว่า วัดท่าขนุนน่าจะร่มเย็นจนเกินไป ทุกวันนี้เฉพาะค่ารักษาหมาอย่างเดียว เดือนหนึ่งก็เป็นหมื่น ๆ บาท..! ไม่ต้องไปคิดถึงค่าหมอค่ายาอื่น ๆ เลย
แต่ว่าในเมื่อวัดท่าขนุนของเราเป็นวัดเปิด เนื่องเพราะว่าอดีตเจ้าอาวาสคือ พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต อนุญาตให้ทางเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ทำทางสาธารณะผ่านเข้ามาในวัด โดยที่ไม่ได้ศึกษาให้ดีว่า ทางสาธารณะนั้นเป็นการใช้ร่วมกันทั้งหมู่บ้าน จึงทำให้ไม่สามารถที่จะสร้างประตูปิดทางเข้าออกได้ กลายเป็นวัดเปิด ก็คือไม่ว่าจะซ้ายขวาหน้าหลัง สามารถเข้ามาได้ทุกทิศทุกทาง
ญาติโยมทั้งหลายจึงเห็นเป็นสถานที่ปล่อยลูกหมา แต่ละปีนำมาปล่อยถึงห้าหกสิบตัว ตัวไหนพระเลี้ยงแล้วสวย ก็อุ้มกลับไป ตัวไหนถ้าหากว่าค่อนข้างจะขี้เหร่ ก็เป็นภาระของพระที่จะเลี้ยง เป็นภาระของพระที่จะต้องนำไปทำหมัน อยู่รอดบ้าง ตายบ้าง ก็ยังเหลือหมาทั้งวัดนับร้อย ๆ ตัว..!
ตอนแรกทางวัดก็ทำหมันเฉพาะหมาตัวผู้ ปรากฏว่าไม่สามารถที่จะป้องกันการเกิดของลูกหมาได้ เนื่องจากว่าตัวผู้จากที่อื่นได้เข้ามาทำหน้าที่แทน ทุกวันนี้จึงต้องทำหมันทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่ก็มีพระในวัดแอบ ๆ เอาไปซุกไว้ตัวสองตัว บอกว่าเดี๋ยวจะไม่มีลูกหมารุ่นใหม่ จะว่าไปแล้ว บางทีก็กลายเป็นเรื่องของเมตตาเกินประมาณอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อเขามาอยู่กับเราแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องเลี้ยงดูกันไป
แม้กระทั่งคนที่มาอยู่วัด ไม่ว่าอย่างนางแดงหรือว่านายหม่องมิตร ซึ่งทั้งสองรายนั้น รายแรกเป็นบุคคลที่นามสกุลใหญ่โตมาก บอกไปแล้วต้องรู้จักกันแน่นอน เพราะว่านามสกุลนี้เคยเป็นถึงประธานสภา แต่ว่าลูกหลานไม่เอา หรือว่าไม่เอาลูกหลานก็ไม่รู้ ? จึงได้มาอาศัยอยู่วัด
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2023 เมื่อ 01:35
|