อย่างที่กระผม/อาตมภาพได้ถามไปตอนกำลังฉันเช้าอยู่ว่า "ได้ข่าวพระมรณภาพแล้วคิดถึงตัวเองบ้างหรือไม่ ?" เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะคิดว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว ทั้ง ๆ ที่ความตายอยู่ใกล้เราแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายอีกเช่นกัน..!
ควรที่เราจะไม่ประมาท เร่งรัดกระทำความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อถึงเวลา เราจะได้ไปให้ไกลที่สุด ก็คือไปสู่สุคติภูมิให้สูงที่สุด ถ้าสามารถพ้นตายพ้นเกิดไปได้ก็ถือว่าดีที่สุด ถ้าไม่ได้ ก็ให้การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารของเรา เหลือระยะสั้นที่สุด
คราวนี้ด้วยความประมาท ขาดสติ ขาดปัญญา เราทั้งหลายก็มักจะเห็นว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว "คนอื่นตาย ไม่ใช่เราตาย" พอถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ขึ้นมาทีหนึ่งก็ได้สติทีหนึ่ง ตั้งหน้าตั้งตาเร่งเกาะความดีเป็นการใหญ่ อยากจะบอกว่าไม่น่าจะทัน อยู่ในลักษณะที่ภาษิตจีนเขาบอกว่า เกิดอันตรายขึ้นแล้วค่อยกอดบาทพระ พูดง่าย ๆ ก็คือความตายมาถึงแล้วค่อยนึกถึงความดี
แล้วที่สมควรด่ายิ่งกว่านั้นก็คือ พออาการเจ็บไข้ได้ป่วยดีขึ้นมาหน่อย ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ประมาท ขาดสติ ลืมไปแล้วว่าคราวที่ผ่านมาเราเกือบจะตาย แล้วทุกครั้งเราก็วนอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ก็คือครั้งนี้เป็น ได้สติขึ้นมา พอหายก็ลืม คราวหน้าเป็นใหม่ ค่อยนึกถึงใหม่ จะว่าไปแล้วถ้าใครอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ต้องบอกว่าสมควรตาย..! ประมาทจนเกินไป ไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร ?
พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า "อานันทะ..ดูก่อน อานนท์ เธอระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง ?" พระอานนท์ทูลตอบว่า "ประมาณ ๗ ครั้งพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ ๗ ครั้งยังน้อยเกินไป ตถาคตระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"
ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็นึกเหมือนกับพวกท่าน ว่าการนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกนั้น "เว่อร์" เกินไป แต่พอทำไปถึงตรงจุดนั้นจริง ๆ แล้วถึงได้รู้ว่า สติ สมาธิ ปัญญา แค่หางอึ่งของเรา การระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ยังไม่ใช่ของยากเลย แล้วระดับพระพุทธเจ้าท่านทำไมถึงจะทำไม่ได้..!?
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2023 เมื่อ 02:27
|