ส่วนหลักธรรมข้อต่อไปก็คือจิตตะ เมื่อมีความยินดีที่จะกระทำ มีความพากเพียรทุ่มเทกระทำหน้าที่แล้ว ยังต้องมีกำลังใจที่ปักมั่น หนักแน่น มั่นคงอยู่กับการงานของตน ไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายไปง่าย ๆ
และท้ายที่สุด มีวิมังสา คือต้องไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ว่าตนเองนั้นทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ปัจจุบันนี้ยังตรงต่อเป้าหมายเดิมอยู่หรือไม่ ? ยังจะต้องใช้ความเพียรพยายามอีกเท่าไรในการกระทำหน้าที่นั้น ๆ เป็นต้น
นอกจากนั้นยังต้องเป็นผู้ที่ไม่ประกอบไปด้วยอคติ ๔ ก็คือไม่ลำเอียงเพราะรัก เห็นแก่พวกแก่พ้อง เห็นแก่คนของตน ไม่ลำเอียงเพราะโกรธ เขาทำให้เราไม่ชอบหน้า ก็กีดกันไม่ให้เขาได้ยศได้ตำแหน่งที่ควรจะได้ ไม่ลำเอียงเพราะกลัว เห็นว่าบุคคลนั้นเป็นลูกเจ้าใหญ่นายโต มีเส้นมีสายแล้วก็ต้องคอยเกรงใจเขา และท้ายที่สุด ไม่ลำเอียงเพราะหลง ก็คือมีความเข้าใจผิด เข้าไม่ถึงบุคคลนั้นอย่างแท้จริง จนกระทั่งไม่สามารถที่จะบริหารจัดการได้ถูกต้องบ้าง
ดังนั้น..บุคคลใดก็ตามที่ตั้งใจจะรับราชการก็ดี ที่จะประกอบกิจหน้าที่ใด ๆ ในลักษณะของผู้นำหน่วยงานก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยเล็ก ๆ อย่างครอบครัวของตนเอง หรือว่าหน่วยงานที่ใหญ่ขึ้น คือหมู่บ้านของตนเอง ตำบลของตนเอง อำเภอของตนเอง จังหวัดของตนเอง และประเทศชาติของตนเอง ก็จะต้องประกอบไปด้วยหลักธรรมทั้งหลายเหล่านี้
โดยเฉพาะถ้าไปถึงระดับอำเภอ จังหวัด หรือว่าประเทศชาติแล้ว ก็ควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาในทศพิศราชธรรมขององค์ในหลวงทุก ๆ พระองค์
เนื่องเพราะว่าหลักทศพิศราชธรรมนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้ประทานให้ไว้สำหรับผู้ปกครอง ที่อยู่ในลักษณะของกษัตริย์ ให้ปกครองไพร่ฟ้าประชาชน ในลักษณะของพ่อปกครองลูก เปรียบเหมือนอย่างกับสมัยของกรุงสุโขทัย ที่เราเรียกกษัตริย์ว่า "พ่อขุน" คือ "พ่อผู้เป็นใหญ่"
เนื่องเพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นปกครองไพร่ฟ้าประชากร เหมือนกับพ่อปกครองลูก เหมือนกับบุคคลดูแลครอบครัวของตนเอง เพิ่งจะมาเปลี่ยนกษัตริย์เป็นฐานะของสมมติเทพในระยะเวลาอันไม่นานนี้เอง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2023 เมื่อ 01:16
|