แล้วความเชื่อนี่พัฒนาไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการสร้างเครื่องคาดราชศาสตราถวายในหลวง ยุคสมัยของเราผู้ที่ถวายก็คือ หลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช สร้างตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชถวาย ดังนั้น..ในส่วนนี้พวกเราจะเห็นว่าไม่ใช่แต่ชาวบ้านทั่วไปจะเชื่อถือเท่านั้น
พอพัฒนามาเรื่อย ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็มาจากคัมภีร์ที่ ๔ ซึ่งเพิ่มเติมขึ้นมาทีหลังตามความเชื่อและวัฒนธรรมของอินเดีย เป็น Indian Cultural แต่ว่ามาเป็นอินเดียที่เป็นประเทศอินเดีย ไม่ใช่พวกชาวอินเดียนแดง
เมื่อจบไตรเพทแล้ว มีท่านที่ได้รับพรพิเศษจากฤๅษีบ้าง จากพระเจ้าของเขาบ้าง ศึกษาบรรดาเวทมนตร์คาถาขึ้นมา แล้วจารึกรวม ๆ กันไว้ กลายเป็นคัมภีร์ฉบับที่ ๔ เรียกว่าอาถรรพเวท แล้วปรากฏว่าไม่ว่าจะเป็นฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท นั้น อาถรรพเวทเป็นส่วนที่เรียนง่ายที่สุด ให้ผลปัจจุบันเร็วมาก จนกลายเป็นความนิยมและแพร่กระจายไป กลายเป็นมันตรยาน หรือว่าตันตระ เชื่อในเรื่องของเวทมนตร์คาถา แล้วก็ยังมาแบ่งเป็นไสยศาสตร์ ไสยขาวบ้าง ไสยดำบ้าง
ทางบ้านของเราที่เขาถือว่าเป็นไสยขาว ก็มีพวกมีดหมอ ปรอทสำเร็จ เสกปรอทให้แข็งตัวได้ เสกเป็นเงินได้ เสกเป็นทองได้ ท่านทั้งหลายที่ไปท่าพระจันทร์ อย่าได้แตะเป็นอันขาด อันนั้นของปลอม อาจถึงตาย จำไว้ว่าปรอทสำเร็จจริง ๆ จับแล้วจะไม่ดำติดมือ ไม่ลื่น เพราะว่าปรอทตายแล้ว
อาตมภาพโชคดี เจอครูบาอาจารย์หลายท่านที่ทำปรอทสำเร็จ แล้วก็เคยไปศึกษาด้วย จนพรรคพวกก็สงสัยว่า "ทำไมพระอาจารย์เล็กทำได้เสร็จเร็วจัง ?" เขาเรียนมา ๕ ปีแล้วยังไม่ได้อะไรเลย อาตมภาพมาพิจารณาดูแล้ว หลวงตาท่านนั้นไม่มีสมาธิ ได้แต่สุมไฟ เผาปรอทไปเรื่อย แล้วจะไปสำเร็จอะไร ? เพราะว่าส่วนหนึ่งที่เขาต้องการ จากวิชาของทางสายพม่านั้น เขามีสำเร็จยันต์ สำเร็จประคำ สำเร็จปรอท สำเร็จยา
สำเร็จยันต์ ก็คือปลุกเสกเลขยันต์ เขียนไปเรื่อย เสกไปเรื่อย จนสมาธิทรงตัวได้ที่ เกิดฤทธิ์เกิดอภิญญาขึ้นมา
สำเร็จประคำ ที่เห็นชัดที่สุดก็คือหลวงพ่ออุตตะมะ ภาวนานับจนกระทั่งลูกประคำขาดไปกี่ร้อยกี่พันสายก็ไม่รู้ ? จนสมาธิจิตทรงตัวหนักแน่น คิดจะให้เป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2023 เมื่อ 17:30
|