โดยเฉพาะสิ่งหนึ่งที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือว่า ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งพระอรหันต์ ๖๐ รูป ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกนั้น ทุกรูปล้วนแล้วแต่หมดกิเลสแล้วทั้งสิ้น การเผยแผ่ของท่านทั้งหลายเหล่านั้นจึงประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างทำไปเพื่อตอบแทนคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้เมตตาเทศนาสั่งสอนจนหลุดพ้นจากกองทุกข์ จึงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ ทำหน้าที่ของตนในการแสดงธรรมต่อไป จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งชีวิต..!
พวกเราทั้งหลายไม่สามารถที่จะมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับหลวงปู่หลวงพ่อในยุคนั้นได้ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราจะลืมไม่ได้เลยก็คือว่า การแสดงธรรมทุกครั้งนั้นจะต้องยึดหลักในพระไตรปิฎก ต้องแม่นยำต่อพระไตรปิฎกและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่ว่าเมื่อท่านทั้งหลายถ่ายทอดหลักธรรมไปแล้ว บรรดาบุคคลที่ท่านสร้างบารมีมาพร้อม อยู่ในลักษณะดอกบัวพ้นน้ำ เมื่อกระทบแสงแดดก็จะเบ่งบานได้ทันที
เหมือนอย่างกับเถรใบลานเปล่า หรือว่าท่านโปฏฐิละ ซึ่งท่านแสดงธรรมตามหลักในพระไตรปิฎก ทำให้ลูกศิษย์ลูกหาบรรลุอรหัตผลเป็นพันรูป แต่ว่าท่านเองไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นมรรคเป็นผลของตนเองเลย จนกระทั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าได้เวลาแล้ว จึงได้ตรัสเรียกอยู่บ่อย ๆ ว่า "ท่านใบลานเปล่า..ท่านใบลานเปล่า"
เมื่อโดนเรียกแบบนั้นบ่อย ๆ เข้า ท่านก็ฉุกใจคิด จนมาพิจารณาว่า ตนเองนั้นดีแต่สอนคนอื่น แต่ไม่เคยสอนตัวเองเลย เปรียบเหมือนกับคัมภีร์เทศน์ที่ยังไม่เคยเขียนหลักธรรมอะไรลงไปเลย เป็นเหมือนกับคัมภีร์ใบลานเปล่า ๆ เท่านั้น ดังนั้น..ท่านจึงเกิดความละอายใจ เมื่อทราบว่าลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์แล้ว จึงไปขอให้ลูกศิษย์ช่วยสั่งสอนตนเองด้วย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2023 เมื่อ 01:33
|