บรรดาวิปัสสนาจารย์หลายท่านถึงขนาดสรุปว่า "ถ้าหากใครเคยทำให้จิตสงบได้ แล้วเกิดฟุ้งซ่านใหม่ อย่าหวังเลยว่าจะสงบได้อีก" นั่นเป็นสิ่งที่ถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะว่าท่านไม่ฉลาดพอในการที่จะจัดการสภาพจิตของตนเอง ก็ในเมื่อเรา "อยาก" แล้วทำให้เราไม่สามารถจะคืนเข้าสู่อารมณ์เดิมได้ ก็ต้อง "เลิกอยาก"
วางกำลังใจอยู่ในลักษณะที่ว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนจะได้หรือไม่ได้ จะดีหรือไม่ดีก็ช่างมัน ถ้าสามารถทำใจไว้แบบนี้แล้วภาวนาไปแบบไม่ลดละ ใช้ความพากเพียรความอดทนตามปกติ เราก็จะสามารถคืนสู่อารมณ์เดิมได้ในระยะเวลาที่ไม่นาน
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลร้ายมากกว่าผลดี จึงทำให้กระผม/อาตมภาพไม่ได้มีความคิดที่จะเดินทางไปไหนเลย แม้แต่การเดินทางไปยังสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ซึ่งมีคนชักชวนมานับครั้งไม่ถ้วน กระผม/อาตมภาพก็ไม่ไป เนื่องเพราะไม่มั่นใจว่าตนเองไปแล้วจะได้ประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน..!?
อีกประการหนึ่งก็คือ การที่ต้องเดินทาง รายจ่ายทุกบาททุกสตางค์ก็คือสิ่งที่ญาติโยมอุดหนุน สนับสนุนมา เขาถวายเรามาในขณะที่เป็นพระ ต่อให้ถวายเป็นส่วนตัวก็ต้องนึกอยู่เสมอว่า เป็นเงินที่ได้มาในขณะที่เราเป็นสงฆ์ จึงไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย กระผม/อาตมภาพจึงมีกฎเกณฑ์เฉพาะตัวว่า ถ้าหากว่าจะไปไหน ต้องมีผู้รับผิดชอบในการเดินทางทั้งหมดถึงจะไป
สถานที่ซึ่งจะไปในครั้งนี้ก็คือแคว้นจัมมู - แคชเมียร์ของประเทศอินเดีย แล้วจะไปในเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนไปกันนัก ก็คือเดินทางด้วยรถยนต์ไปสู่แคว้นลาดัก ซึ่งตลอดทางมีแต่ภูเขาหิมะสูง ๆ ระดับความสูง ๔,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ เมตรมีเป็นปกติ ถ้าหากรอให้แก่ชรามากกว่านี้ ร่างกายอาจจะรับไม่ไหว ดังนั้น..เมื่อมีผู้ชักชวน จึงได้คิดว่าควรที่จะไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วอายุมากกว่านี้เราอาจจะไปไม่ไหวก็ได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2023 เมื่อ 02:05
|