พอถึงเวลาก็คอยดูไว้ ถ้ามีญาติโยมจะใส่บาตร คนหน้าสุดที่ต้องทำหน้าที่รับก็ตรงเข้าไปได้เลย ที่เหลือก็เดินแถวไปตามปกติ พอคนหน้าสุดรับเสร็จก็ไปต่อท้าย คนที่สองก็ขึ้นมารอจังหวะกันใหม่ ก็จะดูเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ไม่ใช่เหมือนทหารแตกทัพอย่างเมื่อเช้านี้..!
การที่เรามาบวช เพื่อที่จะขัดเกลา กาย วาจา และใจ ของเราให้ดีกว่านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นเรื่องที่เราต้องฝึกหัดทั้งนั้น ไม่ใช่อยากสบายทำอะไรตามใจตัวเอง ถ้าหากว่าอยากทำอะไรตามใจตัวเองก็กลับบ้านไป..ไม่ต้องมาบวช..!
เรื่องง่าย ๆ ที่ดูเหมือนกับ "หญ้าปากคอก" แต่กลายเป็นเรื่องยากของพวกเรา เพราะว่าสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือขาดปฏิภาณไหวพริบอย่างแรง ไม่รู้ว่าควรที่จะทำตัวอย่างไร ประการที่สองก็คือ ทำอะไรตามสบายด้วยความเคยชิน ซึ่งความเคยชิน ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมก็คือ "ทรงฌานสมาบัติ" แต่ความเคยชินของชาวบ้านคือ "สันดานเสีย" ทำอะไรตามใจตนเองอยู่ตลอดเวลา พอมาโดนตีกรอบเข้าก็อกจะแตกตาย..!
นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะลำบากใจในขณะที่บวช บวชเข้ามาแล้วจะลำบากใจมากกว่านี้อีก เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราเคยทำได้ตอนเป็นฆราวาส จะโดนตีกรอบด้วยศีลของพระ กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบว่า ชีวิตฆราวาส ถ้าเปรียบกิเลสเป็นเสือตัวหนึ่งในป่า เราเดินเข้าป่าไปบางทีทั้งปีก็ไม่เจอเสือ แต่ชีวิตของความเป็นพระ เขาเอาเสือตัวนั้นขังไว้ในกรงแคบ ๆ กับเรา เสือก็จะฟัดเราอยู่ทุกวัน เพราะว่าขยับไปทางไหนก็ผิด จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้สติ สมาธิ และปัญญาเป็นอย่างสูง ว่าทำอย่างไรที่เราจะรักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้
เป็นเรื่องที่นาคทั้งหลายเมื่อบวชเข้ามาแล้วต้องปรับตัวกันเอง ต้องพยายามระมัดระวังจนตัวเองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศีล จะคิดเมื่อไร จะพูดเมื่อไร จะทำเมื่อไร แค่ขยับตัวก็รู้แล้วว่าศีลจะขาดหรือไม่ ? ถ้าลักษณะนั้นถึงจะเอาตัวรอดได้ แต่ก็ยังไม่แน่ว่าพอ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ระดมเข้ามาแล้วเราจะอยู่ได้ไหม ?
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-03-2023 เมื่อ 02:44
|