ส่วนผู้บังคับบัญชาอีกประเภทหนึ่งนั้นคือ ผู้บังคับบัญชาที่หวังความเจริญจะเกิดขึ้นกับคณะสงฆ์ จึงทุ่มเททำการทำงานทุกอย่างเพื่อคณะสงฆ์ แต่ว่าหาบุคคลที่จะมาแบ่งเบาภาระ หรือว่ามาสนองงานได้น้อยมาก เพราะว่างานคณะสงฆ์นั้น จะว่าไปแล้วเป็นงานที่ทำเพื่อเอากล่อง ก็คือต้องการบุญ ต้องการกุศล ต้องการเห็นความเจริญในพระพุทธศาสนา
ในเมื่อทำไปแล้วประโยชน์มีน้อย แถมยังต้องเสียประโยชน์ของตนเป็นอย่างมาก ผู้บังคับบัญชาหลายท่าน อย่างเช่นพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจและทรัพยากร ในการบริหารงานเพื่อที่จะให้คณะสงฆ์มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่เจริญขึ้น ทำให้ญาติโยมกลับมาศรัทธาในพระพุทธศาสนาเหมือนเดิม
แต่ว่าสิ่งที่ได้รับตอบกลับมานั้นก็คือ เจ้าคณะปกครองระดับล่างบางคน "เข้าเกียร์ว่าง" ไปเลย..! เพราะเห็นว่าเป็นการไปเพิ่มงานให้กับตัวเอง ทุกวันนี้อยู่กินไปวัน ๆ ก็ถือว่าสบายแล้ว ทำไมต้องไปเหนื่อยแบบนั้นด้วย ?
ส่วนอีกประเภทหนึ่งนั้นก็ "ทำหูทวนลม" กิจการงานใด ๆ ที่เป็นความเจริญของคณะสงฆ์ กิจการงานใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อความเจริญของพระพุทธศาสนา กิจการงานนั้น ๆ ก็ไม่ใส่ใจที่จะทำ หากแต่ว่าไปรับกิจนิมนต์แทน ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จึงทำให้ผู้บังคับบัญชาประเภทหลังนี้ ถ้าหากว่าไม่มีความมุ่งมั่นที่จะทำความดีเพื่อคณะสงฆ์จริง ๆ ก็คงจะท้อถอยและหมดกำลังใจไปในที่สุด
ในเมื่ออ่านหนังสือ "พลิกประวัติศาสตร์มหาอำนาจต้าหมิง" แล้วมาคิดเข้ากับการปกครองคณะสงฆ์ในปัจจุบันแล้ว กระผม/อาตมภาพเห็นใจผู้บังคับบัญชาประเภทหลังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านต้องมาเครียดเพราะตั้งใจทำความดีแท้ ๆ ส่วนผู้บังคับบัญชาประเภทแรกนั้น ท่านจะหวงเก้าอี้หวงตำแหน่งอย่างไรก็เรื่องของท่านเถิด คิดมากเครียดมาก ท่านก็จะโดนมะเร็งรับประทานไปเอง..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2023 เมื่อ 02:18
|