ตอนช่วงนี้ของเรา ก็ถือว่าเรามาทำการภาวนา โดยเฉพาะตอนช่วงที่เราภาวนาอยู่ ศีลทุกสิกขาบทของเราไม่ขาดอยู่แล้ว ก็แปลว่าเรามีศีล มีภาวนาเป็นปกติ แล้วถามว่าถ้าหากเรานั่งอยู่อย่างเดียว เราสามารถให้ทานได้ไหม ? ได้..จัดเป็นอภัยทาน ก็คือ การที่เราพยายามทำกำลังใจ ไม่ให้โกรธเกลียดคนอื่นเขา ให้อภัยเขา พยายามแผ่เมตตาต่อเขา เป็นต้น
ฉะนั้น..ถ้ามีโอกาสทำเอาไว้ โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าทรงชี้ประโยชน์ให้เราหลายสถาน ประโยชน์ปัจจุบัน คนที่กำลังใจสงบ จะเห็นช่องทางแก้ปัญหาชีวิตได้ทุกคน จริง ๆ แล้วทุกคนมีปัญหาชีวิตที่ไม่ได้หนักเกินกำลัง แต่ว่าเรามักจะขาดปัญญา ไม่สามารถที่จะจัดลำดับก่อนหลังเร็วช้าให้กับปัญหานั้น ก็เลยกลายเป็นเอามายำใหญ่กลายเป็นกองเบ้อเริ่ม เกินกว่าที่กำลังของเราจะแก้ไข
แต่ถ้าหากว่าสมาธิของเราทรงตัวมั่นคง เราจะมีจิตที่นิ่ง มีปัญญาจะแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้น ว่าอย่างไหนเร็วกว่ากัน อย่างไหนช้ากว่ากัน ปัญหาไหนเร็วกว่า ให้หยิบปัญหานั้นขึ้นมาแก้ไขก่อน เราจะมีปัญหาเดียวอยู่เฉพาะหน้าและไม่เกินกำลัง ต่อให้ก่อนหลัง เร็วช้าสักนาที สองนาที ห้านาที สิบนาที ก็มีเร็วช้า ให้แก้ไปทีละอย่าง
นี่เป็นประโยชน์ปัจจุบันว่า ถ้าหากกำลังใจของเราทรงตัว จะมีปัญหาทางโลกก็แก้ไขได้ จะ มีปัญหาทางธรรมก็แก้ไขได้ เพราะสภาพจิตที่นิ่งเหมือนกับน้ำนิ่ง สะท้อนเห็นเงาทุกอย่างอย่างชัดเจน ต้นตอของปัญหามีอย่างไร ? สามารถที่จะสาวไปถึงได้ง่าย
แล้วพระพุทธเจ้าท่านชี้ประโยชน์ในอนาคต คือ ถ้ากำลังใจทรงตัวอยู่ในด้านดี จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติปาฏิกังขา กำลังใจของเรา ถ้าหากว่าผ่องใสสะอาด เราไปสุคติแน่นอน ก็คือ ไปสวรรค์ ไปพรหมได้
แล้วท่านก็ชี้ประโยชน์สูงสุด เป็นปรมัตถประโยชน์ว่า เรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นบันไดให้เราก้าวไปถึงพระนิพพาน หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2014 เมื่อ 01:51
|