หรือเรื่องราวของพระฉันนะ ซึ่งเคยเป็นอดีตมหาดเล็กคนสนิท ติดตามสิทธัตถราชกุมารจนกระทั่งออกบวช เมื่อบวชมาแล้ว ด้วยความหัวดื้อ หัวรั้น ไม่ฟังใคร ถึงขนาดเวลาพระเถระตักเตือนก็เถียงว่า "ท่านเป็นใคร ? ผมคือพระฉันนะ เป็นผู้อยู่ดูแลพระลูกเจ้ามาตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ในสมัยนั้นพวกท่านอยู่ที่ใดกันหรือ ? แม้กระทั่งการออกมหาภิเนษกรมณ์ของพระลูกเจ้า ข้าพเจ้าก็เป็นคนพาท่านออกไปเอง" คนอื่นเจอแบบนี้เข้าก็สะเด็ดหมด..! ไม่มีใครสามารถที่จะตักเตือนได้
จนกระทั่งก่อนปรินิพพาน พระอานนท์กราบทูลถามพระบรมศาสดาว่าจะปฏิบัติต่อฉันนะภิกขุอย่างไร ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์" พระอานนท์กราบทูลว่า "พรหมทัณฑ์นั้นเป็นการลงโทษแบบใด ?" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ขอให้สงฆ์ทั้งหลายไม่ร่วมกิน ไม่ร่วมนอน ไม่ร่วมสังฆกรรม ไม่ตักเตือนใด ๆ ทั้งสิ้น" พูดง่าย ๆ ก็คืออยากจะทำผิดทำชั่วอย่างไรก็ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย..!
ปรากฏว่าพระอานนท์ต้อง "ขอความคุ้มครองจากคณะสงฆ์" เพื่อไปแจ้งข่าวซึ่งเป็นมติสงฆ์ต่อพระฉันนะ คำว่าขอความคุ้มครองในที่นี้ก็คือขอให้หมู่สงฆ์ไปด้วย เผื่อพระฉันนะอาละวาดขึ้นมา จะได้ช่วยกันป้องกัน ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอานนทราชกุมาร มีสิทธิ์ที่จะสืบสันตติวงศ์ครองราชบังลังก์ สารพัดวิชาโดยเฉพาะการต่อสู้ต้องฝึกมาเจนจบแล้ว ทำไมต้องกลัวฉันนภิกขุขนาดนั้น ?
ท่านต้องลองนึกย้อนไปว่า ฉันนอำมาตย์นั้น โดนวางตัวให้เป็นองครักษ์ประจำตัวของว่าที่พระเจ้าจักรพรรดิตั้งแต่สมัยนั้น ก็แปลว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่องครักษ์ควรจะเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะวิชาการต่อสู้ ฉันนอำมาตย์จะต้องเพียบพร้อมยิ่งกว่าคนอื่น เก่งกล้ายิ่งกว่าคนอื่นทั้งหมด
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2023 เมื่อ 02:38
|