เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพได้กำชับกำชาว่าที่พระอุปัชฌาย์ผู้เข้ารับการสอบภาคปฏิบัติว่า "หลวงพ่อต้องไปแก้ไขตรงจุดนี้ ต้องไปแก้ไขตรงจุดนี้" เป็นต้น
อย่างเช่นว่า การบอกอนุศาสน์ ปิณฑิยาโล ปะโภชะนัง นิสสายะ ปัพพัชชา ท่านก็อ่านแบบความเคยชินในภาษาไทย เห็นว่าเป็น ฑ.นางมณโฑ ก็ไปอ่านว่า ปิน-ทิ-ยา-โล ปะโภชะนัง เป็นต้น กระผม/อาตมภาพต้องยกให้ดูว่า บัณฑิต มณฑป ดังนั้น...คำว่า ปิณฑิ (ปิน-ดิ) จึงต้องใช้เสียง ด.เด็ก ไม่ใช่เสียง ท.ทหาร แต่เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้าฝังรากลึกจนกลายเป็นความเคยชินแล้วก็จะแก้ไขลำบากมาก
แบบเดียวกับอนุสัยกิเลส ซึ่งนอนเนื่องฝังลึกอยู่ในจิตในใจของเรามากัปกัลป์อนันตชาติ เกิดแล้วเกิดอีกนับไม่ถ้วน ก็จะทำให้ความเคยชินในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง ฝังอยู่ในใจของเรา ถ้าไม่พากเพียรพยายามในการขัดเกลา ก็ไม่มีวันที่จะเบาบางลง
ถ้าหากว่าเบาบางลง เราก็จะลดในเรื่องของการตามใจกิเลสลงไปได้บ้าง
ถ้าหากว่าขัดเกลาไปในระดับปานกลาง เราก็จะละในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง บางส่วนลงไปได้
แต่ถ้าเรามีความสามารถ ขัดเกลาได้หมดสิ้นจริง ๆ เราก็จะเลิก ก็คือไม่กระทำตามในสิ่งที่กิเลสบังคับบัญชา เพราะว่าสภาพจิตพ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปสักแต่ว่าเป็นกิริยา มายาไม่มี สิ่งที่ทำจึงไม่นับว่าเป็นกรรม เหตุเพราะว่าจิตไม่ได้ปรุงแต่งไปในด้านของ รัก โลภ โกรธ หลง
เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายที่ไปถึงระดับนี้นั้น สติของท่านสมบูรณ์มาก เรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตามที่ทำไปแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากมีผู้เลียนแบบทำตาม ท่านก็จะระมัดระวังไม่ทำอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น สามารถละอนุสัยกิเลสได้โดยเด็ดขาดแล้ว มักจะอยู่ในลักษณะของผู้มีสติวินัย ก็คือมีสติควบคุมกาย วาจา ใจของตนเอง ไม่ให้ล่วงละเมิดในสิ่งที่เป็นบาปเป็นกรรมใหญ่
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2023 เมื่อ 03:58
|