คราวนี้ในส่วนของสมถกรรมฐาน ที่กระผม/อาตมภาพบอกเอาไว้ว่า ถ้าใช้ผิดจะเป็นมิจฉาสมาธิ ก่อให้เกิดโทษ แบ่งออกง่าย ๆ เป็น ๔๐ กอง ประกอบไปด้วย
อนุสติ คือการตามระลึกถึงคุณงามความดีของสิ่งต่าง ๆ ๑๐ ประการด้วยกัน มีพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เป็นต้น ก็คือการระลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปจนถึงท้ายสุด อุปสมานุสติ ระลึกถึงความสงบระงับ ปราศจากกิเลสของพระนิพพาน
หมวดต่อไปก็คือกสิณ ๑๐ กสิณประกอบไปด้วยกองกรรมฐาน ๑๐ ประการที่ต้องมีเครื่องช่วยในการฝึก ที่เรียกว่า "องค์กสิณ" ประกอบไปด้วยกสิณดิน น้ำ ลม ไฟ ไปจนกระทั่งถึงกสิณอากาศในท้ายสุด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องอาศัยวัตถุภายนอกเป็นเครื่องกำหนดใจ ที่เราเรียกว่า "เพ่ง" ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติมักเข้าใจคำว่าเพ่งผิดไป จึงไปนั่งจ้องจนกระทั่งบางทีน้ำตาไหลก็มี..!
คำว่า "เพ่ง" ในที่นี้คือกำหนดจดจำเอาไว้ให้มั่นคงแล้วนึกถึง พอความรู้สึกนั้นเลือนหายไป เราก็ลืมตาขึ้นมองวัตถุนั้นใหม่ แล้วตั้งใจจำ หลับตาลงนึกถึง พร้อมกับคำภาวนาใหม่
แต่เรามักจะไปแปลตามบาลี กสิณะ ในความเพ่ง แล้วไปจ้องกันจนน้ำตาไหลไปหลายราย แม้แต่กระผม/อาตมภาพเอง สมัยที่ฝึกใหม่ ๆ ก็จ้องมาแล้วเหมือนกัน กว่าจะที่รู้ทิศรู้ทางก็เสียเวลาไปนานทีเดียว
หมวดที่ ๓ มีอีก ๑๐ กอง เรียกว่า อสุภกรรมฐาน ๑๐ ก็คือการที่บุคคลซึ่งมีราคจริต หรือว่าเป็นผู้ที่มีพุทธิจริต คำว่าราคจริตนั้นคือประเภทรักสวยรักงาม แต่ว่าเน้นในเรื่องของกาม ยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
ส่วนในเรื่องของพุทธิจริตนั้น เป็นผู้ที่มีปัญญามาก ถ้าหากว่ามาฝึกกรรมฐานทั้งหลายเหล่านี้ จะสามารถดึงเข้าสู่วิปัสสนากรรมฐานได้เร็วมาก เริ่มตั้งแต่อุทธุมาตกอสุภ คือซากศพที่ขึ้นพอง จนกระทั่งไปลงท้ายที่อัฏฐิกอสุภ คือซากศพที่เหลือแต่โครงกระดูกแล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2022 เมื่อ 00:59
|