๑๐.๑๖ สุขทุกข์อยู่ที่ใจ “ดูกรอานนท์ จิตสุขเป็นสวรรค์ จิตทุกข์เป็นนรก ถ้าอยากได้สุขในพระนิพพาน ต้องวางเสียทั้งสุขและทุกข์ ให้เอาใจวางหรือวางที่ใจ เพราะธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ (เป็นประธาน, มีใจประเสริฐที่สุด) ทุกสิ่งสำเร็จได้ที่ใจ”
๑๐.๑๗ ผู้ที่เห็นจิตผู้อื่นได้ คือพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น มีรายละเอียดที่ควรเขียนให้ทราบโดยย่อดังนี้
ก) อาจมีผู้อื่นซึ่งใช้อำนาจของสมาธิ ทำให้รู้เห็นได้ก็มีอยู่ แต่ไม่แน่นอน มีโอกาสที่จะผิดพลาดได้ เพราะตัวสมาธิไม่สามารถจะฆ่ากิเลสให้ตายได้ เป็นเพียงแค่ระงับกิเลสไว้ชั่วคราวเท่านั้น เพราะสมาธิมี ๒ ชนิด คือ มิจฉาสมาธิ หมายถึงสมาธิที่มิได้ตั้งมั่นอยู่บนศีลอันบริสุทธิ์ (อธิศีล) จึงไม่มั่นคง หากศีลข้อใดบกพร่อง สมาธิหรือฌานสมาบัติก็ไม่ทรงตัว หรือเสื่อม เช่น ท่านเทวทัตเป็นต้น อีกข้อหนึ่งคือ สัมมาสมาธิ หมายถึง สมาธิที่ตั้งมั่นอยู่บนศีลอันบริสุทธิ์(อธิศีล) สมาธินี้จึงมั่นคง ไม่มีคำว่าเสื่อม การรู้การเห็นจึงไม่ผิดพลาด (พระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านมีครบทั้งอธิศีล อธิจิตและอธิปัญญา)
ข) บุคคลที่รู้เห็นไม่จริงนี่แหละจะเป็นผู้ทำให้ศาสนาของตถาคตเสื่อมลง
ค) บุคคลผู้ทำลายพระพุทธรูป,พระสถูป,พระเจดีย์,ตัดไม้ศรีมหาโพธิ์ เป็นบาปก็จริงแต่มิได้ทำลายพระพุทธศาสนา จึงไม่มีโทษหนักเท่ากับพวกปรามาสพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา
ง) พวกทำลายพระพุทธรูป สถูป เจดีย์ ยังมีทางเป็นกุศลได้ หากเขาสร้างหรือแก้ไขให้ดีขึ้น สวยขึ้น แม้การตัดต้นโพธิ์ หากขึ้นอยู่ในที่ไม่สมควร เช่นใกล้ถาวรวัตถุ จะตัดเสียก็หาโทษมิได้ บุญบาปอยู่ที่เจตนาของใจ
จ) นักบวชพวกอวดอุตริมนุษยธรรม แสดงธรรมหรือกรรมที่ไม่มีในตน มีโทษถึงขั้นปาราชิกเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง พระองค์ทรงตรัสว่า อุปมาเหมือนโจรมาปล้นพระศาสนาของพระองค์ทีเดียว
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 23-03-2010 เมื่อ 17:31
|