ในเรื่องของพระธรรมวินัยนั้น กระผม/อาตมภาพถือตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์ ก็คือให้เข้มงวดไว้ก่อน เมื่อผ่อนลงมาก็จะพอดี แต่ถ้าท่านไปผ่อนตั้งแต่ต้น เมื่อถึงเวลาผ่อนลงไปอีก ก็จะกลายเป็นหย่อนยานและเสียหายในพระธรรมวินัยไปเลย ทำให้หลายวัดที่มีการประพฤติปฏิบัติซึ่งไม่ค่อยจะเข้มงวดนั้น บางทีก็เห็นการปฏิบัติผิดของตนกลายเป็นถูก แล้วกล่าวว่าที่วัดท่าขนุนอธิษฐานพรรษาในวันอาสาฬหบูชานั้น เป็นการกระทำที่ผิด ต้องไปอธิษฐานวันเข้าพรรษาจึงจะถูก เหล่านี้เป็นต้น
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เมื่อนาน ๆ ไป ก็จะมีการยึดถือตามครูบาอาจารย์ของตน แล้วกลายเป็นอาจาริยวาท ซึ่งทำให้เกิดนิกายต่าง ๆ ขึ้นมา ในการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ หลังจากพระพุทธปรินิพพานแล้ว ๑๐๐ ปี ตอนนั้นแตกออกไปถึง ๑๘ นิกายด้วยกัน ก็เพราะถือว่าการปฏิบัติของอาจารย์ของตนนั้นถูกต้อง
ปัจจุบันในประเทศไทยของเรานั้น ก็มีแนวโน้มว่าการปฏิบัติของเรานั้นแยกออกเป็นหลายสายด้วยกัน ถ้ามีการกระทบกระทั่งกันเมื่อไร ก็จะกลายเป็นนิกายขึ้นมาทันที อย่างเช่นว่าเป็นสายของสันติอโศก เป็นสายของธรรมกาย เป็นสายของวัดป่าสายหลวงปู่มั่น เป็นสายของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง แล้วก็ยังมีสายของวัดนาป่าพง มีสายของการปฏิบัติแบบนามรูป มีสายการปฏิบัติแบบเคลื่อนไหว เป็นต้น
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความอ่อนไหวของพระพุทธศาสนาของเราเป็นอย่างมาก ก็คือแทนที่จะมีแค่ธรรมยุตและมหานิกาย สองนิกายเท่านั้น ปัจจุบันนี้เรามีทั้งธรรมยุติกนิกาย มีมหานิกาย มีจีนนิกาย มีอนัมนิกาย และหลายแห่งก็มีวัชรยานของทางด้านทิเบตแทรกเข้ามาด้วย ซึ่งตรงจุดนี้ในการยึดถือนั้นจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้แตกต่างในเรื่องของข้อธรรมและแนวปฏิบัติสักเท่าไร แต่ส่วนที่ทำให้เกิดความอ่อนไหวก็เพราะว่า มาปะปนกันอยู่ในคณะสงฆ์ไทย แล้วทำให้เกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาในบรรดาหมู่ศิษย์ทั้งหลาย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2022 เมื่อ 01:43
|