การเรียนการสอนในพระพุทธศาสนานั้น โดยหลักเลยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ศึกษาในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และ ปัญญา แต่ว่าการเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมก็ดี แผนกบาลีก็ดี แผนกสามัญก็ดี มีประโยชน์ตรงที่ว่า
อันดับแรกเลย เปรียบเสมือนกับการมีแผนที่อยู่ในมือ ช่วยให้สามารถเดินทางได้อย่างมั่นอกมั่นใจยิ่งขึ้น
ประการที่สองก็คือ ได้ศึกษาความรู้ในพระพุทธศาสนา เมื่อกำหนดจดจำได้ แล้วมีการถ่ายทอดสืบต่อกันไป ก็ทำให้คำสอนในพระพุทธศาสนานั้น สามารถสืบทอดไปอย่างยั่งยืนมั่นคงได้
และประการสุดท้ายก็คือ เมื่อศึกษาแล้ว ให้เร่งการปฏิบัติตามสิ่งที่เราเรียนรู้มา จนกว่าจะประสบความสำเร็จ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางแนวทางเอาไว้
ก็แปลว่าปริยัติ คือการเรียนตามตำรา ปฏิบัติ คือการลงมือทำให้เกิดผล จึงจะก่อให้เกิดปฏิเวธ คือผลจากการเรียนและการปฏิบัติธรรมนั้นเกิดขึ้นแก่ตัวตนของเราได้
แต่ถ้าเรียนแล้วไม่สามารถที่จะนำมาใช้การได้ ซ้ำยังทำให้เกิดการหยิ่งผยอง อย่างเช่นว่า "เราจบนักธรรมชั้นเอก เราจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค เราจบปริยัติสามัญระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก" ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็จะกลายเป็น "เถรใบลานเปล่า" ไม่สามารถที่จะนำมาใช้งานได้ยังไม่พอ ยังเพิ่มตัวมานะและสักกายทิฎฐิ คือเพิ่มความถือตัวถือตน ความเป็นตัวกูของกูให้หนักยิ่งขึ้น
วิธีการศึกษาแบบนี้ ในบาลีเรียกว่า อลคัททูปมปริยัติ ก็คือการเรียนแบบจับงูข้างหาง มีแต่จะทำให้โดนงูนั้นแว้งกัด จนบาดเจ็บล้มตายลงไปในภายหลัง ซึ่งตัวอย่างก็มีอยู่มากมายทั่วไป อย่างเช่นว่าเรียนแล้วสอนคนอื่น แต่ไม่สามารถที่จะสอนตนเองได้ เรียนแล้วสอนคนอื่นประสบความสำเร็จมากมาย แต่ตนเองไม่ได้อะไรเลย เรียนแล้วสอนคนอื่นได้ แต่ตนเองต้องสึกหาลาเพศออกไป เพราะว่าไม่สามารถนำคำสอนมาก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้ เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2022 เมื่อ 02:34
|