ตรงนี้ที่จะกล่าวถึงก็คือว่า ในส่วนของเรื่องอบายมุขก็ดี ในส่วนของการพนันก็ดี หรือว่าสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมทั้งปวงที่เป็นอาบัติเบา สามารถแก้ไขได้ก็ตาม พระภิกษุสามเณรของเราไม่บังควรเข้าไปแตะต้องอย่างเด็ดขาด เพราะว่ากิเลสนั้นมีมายามาก
ถ้าหากว่าเราเคยไปแตะต้องแม้แต่ครั้งเดียว ครั้งต่อไป ถ้าเราพยายามหักห้ามใจ กิเลสก็จะชวนว่า "คราวที่แล้วยังได้เลย อีกสักครั้งหนึ่งเถอะ ไม่เป็นไรหรอก คราวที่แล้วก็ทำไปแล้ว" ดังนี้ เป็นต้น แล้วเราทั้งหลายก็จะอ่อนแอแพ้พ่ายให้กับกิเลสมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เนื่องเพราะว่าเราทำตัวเราเองให้ห่างไกลจากคุณความดีไปเอง
พรรคพวกเพื่อนฝูงทั้งหมด ตั้งแต่ที่เคยเรียนร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็นในระดับนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอกก็ดี ในระดับของประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกก็ดี มักจะปรารภว่า "เมื่อเจอท่านใหม่ ๆ ผมหมั่นไส้มาก คนเราอะไรมันจะนิ่งได้ขนาดนั้นวะ..!?"
ความจริงแล้วก็คือ กระผม/อาตมภาพเมื่อออกสู่ฝูงชน ก็จะทำตัวเหมือนกับอยู่คนเดียว เมื่ออยู่คนเดียว ก็จะทำตนเหมือนกับอยู่ในคนหมู่มาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถ้าหากเราอยู่ในท่ามกลางบุคคลเป็นจำนวนมาก แล้วสามารถรักษาความสงบของใจเอาไว้ได้ รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะไม่สามารถกินใจของเราได้
กระผม/อาตมภาพได้ปรารภเอาไว้หลายต่อหลายครั้งแล้วว่า ไม่มีอะไรที่น่าเสียดายยิ่งกว่าการไปเผลอปล่อยให้กิเลสกินใจของเราจนเศร้าหมอง เนื่องเพราะว่าเราพยายามปัดกวาดเช็ดถู ขัดเกลากำลังใจของเรามายาวนานจนผ่องใสแล้ว อยู่ ๆ ในเวลาแค่ไม่กี่วินาที เราปล่อยให้กิเลสมาทำความเศร้าหมองแก่ใจของเราได้ เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก และน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2022 เมื่อ 02:29
|