ถ้าวางกำลังใจในลักษณะนี้ ก็เป็นไปได้ ๒ ทาง อย่างแรกคือหาความก้าวหน้าอะไรไม่ได้เลย อย่างที่สอง ไปลงล็อกเป็นสังขารุเปกขาญาณ สร้างความก้าวหน้าให้กับตัวเองแบบพรวดพราด เพราะว่าสังขารุเปกขาญาณนั้นเป็นวิปัสสนาญาณระดับที่สูงมาก ถามว่ามากแค่ไหน ? ก็เป็นอันว่ามากก็แล้วกัน 
 
อีกส่วนหนึ่งที่ไม่อยากให้ทุกคนลืมก็คือ การปฏิบัติธรรมของเราที่เป็นการทวนกระแสโลก ก็เหมือนกับการว่ายทวนน้ำ ต่อให้เหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ก็จำเป็นที่จะต้องจ้วงเอาไว้ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นแล้วจะโดนกระแสโลกพัดพาไป ทำให้การปฏิบัติธรรมของเรานั้นไม่เกิดผล ยิ่งถ้าหากว่าผ่านไปหลาย ๆ เดือน หลาย ๆ ปี ไม่มีอะไรดีขึ้นมาจากการปฏิบัติธรรมเลย เราก็จะท้อถอยและหมดกำลังใจ 
 
อย่างที่เคยบอกกล่าวให้หลายท่านฟังไปแล้วว่า ตัวกระผม/อาตมภาพเองนั้น เมื่อแรกเริ่มในการปฏิบัติธรรม โดยเน้นจะเอามรรคเอาผลกันจริง ๆ ก็เป็นเวลาที่ปฏิบัติมาหลายปีแล้ว ก็คือผ่านไปถึง ๑๑ ปีด้วยกัน กว่าที่จะรู้สึกว่าในเรื่องของสมาธิ สมาบัติอะไรต่าง ๆ ที่อุตส่าห์ทำกันแทบล้มประดาตาย เป็นเรื่องที่เกินต้องการ 
 
กำลังใจที่เราทั้งหลายต้องการนั้น อันดับแรกเลย อยู่แค่ปฐมฌานละเอียดก็พอ เพราะว่ามีกำลังเพียงพอที่จะตัดกิเลสเป็นพระโสดาบัน หรือเป็นพระสกทาคามีได้ ยกเว้นว่าต้องการมากกว่านั้น ก็ต้องเอาให้ถึงฌาน ๔ เนื่องจากว่าพระอริยเจ้าระดับต่อไปก็คือพระอนาคามี ซึ่งสามารถละโลภ โกรธ ลงได้อย่างเด็ดขาด  
 
คราวนี้อย่าลืมว่าราคะกับโลภะ สองอย่างนี้คือตัวเดียวกัน เพราะเราเกิดราคะ คือความยินดีในสิ่งนั้น ๆ จึงเกิดโลภะ ความอยากมี อยากได้ขึ้นในใจ 
 
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตัวเราเองที่เป็นนักปฏิบัติธรรม ถ้าต้องการความเป็นพระอริยเจ้าในระดับพระอนาคามีขึ้นไป ต้องได้ฌาน ๔ ละเอียดเท่านั้น ฌาน ๔ หยาบก็ยังไม่ไหว เพราะว่าต้องตัดราคะและโทสะ ที่เป็นกิเลสใหญ่ ๒ ตัวลงให้ได้ ถ้ากำลังไม่ถึงระดับนั้น เราก็เอาไม่อยู่ โดนกิเลสตีหงายท้องทุกราย..!
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2022 เมื่อ 02:29
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |