ข้อที่สามคือสัมมสนญาณ  แปลว่า ญาณที่กำหนดรู้นามรูป โดยเห็นไตรลักษณ์อย่างแท้จริง ก็คือต้องพิจารณาให้เห็นว่านามรูปทั้งหลายเหล่านี้นั้นไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร 
 
ดังที่กระผม/อาตมภาพนำให้บรรดาโยคีบุคคล ที่เข้าปฏิบัติธรรมในช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติของวัดท่าขนุนทุกครั้งว่า ให้เราพิจารณาอย่างไรให้เห็นความไม่เที่ยง ให้เราพิจารณาอย่างไรให้เห็นความเป็นทุกข์ ให้เราพิจารณาอย่างไรถึงจะเห็นความเป็นไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราให้ยึดถือมั่นหมายได้ 
 
ญาณทั้ง ๓ อย่างที่ว่ามานี้ ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ญาณใดญาณหนึ่งก็สามารถทำให้ท่านทั้งหลายเข้าถึงมรรคถึงผลได้แล้ว ไม่ใช่ไปถึงตอนท้ายคือมรรคญาณ ผลญาณ ถ้าหากว่าต้องรอให้ถึงตอนนั้นแปลว่าไม่ทันกิน..! 
 
โยคีบุคคลผู้เข้าปฏิบัติธรรมทุกคนสามารถเข้าถึงโสฬสญาณก็คือญาณ ๑๖ นี้ในญาณใดญาณหนึ่งได้ ตามปัจจัยที่ได้สั่งสมมาเป็นปุพเพกตปุญญตาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ 
 
ดังนั้น...ในส่วนของญาณ ๑๖ ไม่ว่าญาณใดญาณหนึ่ง ก็เป็นญาณที่พาเราเข้าถึงมรรคถึงผลทั้งสิ้น ยกเว้นอยู่อย่างเดียวก็คือโคตรภูญาณ ซึ่งเป็นญาณที่เข้าถึงมรรคอย่างเดียว เพราะว่าเป็นญาณที่อยู่กึ่งกลางในระหว่างความเป็นพระโสดาบัน ในความเป็นพระสกทาคามี ในความเป็นพระอนาคามี และในความเป็นพระอรหันต์ 
 
คือมองเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจะเป็นอย่างไร แต่ว่ายังเข้าไม่ถึง พูดง่าย ๆ ว่าเห็นแล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะนำมาเป็นสมบัติของตนเองได้ เป็นต้น
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2022 เมื่อ 02:49
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |