เนื่องเพราะว่าพระภิกษุสงฆ์สามเณรของเราปกครองกันตามอาวุโส ต่อให้บวชพร้อมกัน ถ้าหากว่าพระอาจารย์คู่สวดเอ่ยนามท่านใดก่อน คนนั้นก็เป็นพี่ ก็จะอยู่ในลักษณะของพี่สอนน้อง หรือว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์แนะนำสั่งสอนลูกศิษย์ ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนี้ ถ้าหากว่ารุ่นพี่บอกกล่าวอะไรก็ควรที่จะฟังกัน ไม่ใช่มองเขาหัวถึงตีน ประมาณว่า "มึงเป็นใคร ? บังอาจมาสอนกู..!"
ถ้าในลักษณะอย่างนั้น ก็แปลว่าท่านเองกำลังทำตัวแปลกแยกจากสังคม ให้ตรึกตรองย้อนหลังไปว่า ตั้งแต่พอรู้ความมาจนถึงบัดนี้ อยู่ที่ไหนแล้วไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งคนอื่นบ้างหรือเปล่า ? ซึ่งกระผม/อาตมภาพมั่นใจได้เลยว่า ถ้าสันดานเป็นอย่างนี้ก็ต้องมีทุกที่..!
ดังนั้น...จึงเป็นเรื่องที่เราควรที่จะสำนึกว่าการเป็นพระภิกษุสามเณรของเรานั้น ถ้าหากว่าครูบาอาจารย์หรือรุ่นพี่ว่ากล่าวตักเตือนแล้วเราไม่ฟัง ก็คือแบกอาบัติติดตัวอยู่ตลอดเวลา ถือว่าไม่เอื้อเฟื้อในพระวินัย แล้วบุคคลที่แบกอาบัติติดตัวอยู่ตลอดเวลา บกพร่องในพระวินัย โอกาสที่ปฏิบัติแล้วจะเอาดีได้ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าสภาพจิตหยาบเกินกว่าที่จะเห็นโทษของตนเอง ในเมื่อไม่เห็นโทษของตนเอง แล้วจะไปเห็นหน้ากิเลสที่ละเอียดกว่าได้อย่างไร ?
ดังนั้น...ถ้าเป็นไปได้ก็คือพยายามปรับปรุงแก้ไข ไม่เช่นนั้นแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะกินตัวของท่านเอง แล้วท้ายที่สุดก็จะโดนคลื่นแห่งพระธรรมวินัยซัดขึ้นสู่ฝั่ง กลายเป็นซากศพเน่าอุจาดตาอยู่เท่านั้น
วันนี้รบกวนเวลาพวกเรามามากแล้ว จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2022 เมื่อ 03:17
|