คุณน้าคนโตของกระผม ท่านนับถือท่านอาจารย์นิกร ดอยนางแลมาก ขนาดอยู่กรุงเทพฯ เดินทางไปเชียงรายไปว่าเล่น พอท่านอาจารย์นิกรเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา ไปทำผู้หญิงท้องเข้า ท่านก็หันมานับถือพระอาจารย์ยันตระ ติดตามพระอาจารย์ยันตระออกไปแสวงบุญวัดโน้น วัดนี้ วัดนั้นไม่ขาด พออาจารย์ยันตระเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา ท่านก็เปลี่ยนไปนับถือหลวงพ่อภาวนาพุทโธ พวกคุณลองคิดดูแล้วกันว่าน้าผมซวยขนาดไหน !!? จนกระทั่งทุกวันนี้ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ ผมเชื่อว่าท่านคงมองพระทั้งโลกว่าหาดีไม่ได้อีกแล้ว..!
เราที่เป็นพุทธบริษัทต้องเข้าใจว่า การปฏิบัติของพระนั้น ต่อให้ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีล ปฏิบัติธรรมเต็มที่อย่างไรก็ตาม ก็จะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
ประเภทหนึ่งก็คือ เข้าถึงมรรคถึงผลไปเลย อีกประเภทหนึ่ง แค่กดกิเลสไว้ได้ด้วยอำนาจของสมาธิสมาบัติ ประเภทหลังนี่มักจะมาสายฤทธิ์ สายอภิญญา มีความเข้มแข็งในสมาธิสูงมาก แล้วก็ทำให้เกิดอุตริมนุสสธรรม คือสิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปทำไม่ได้ ให้ผู้คนเขาเห็น
ในเมื่อมีความสามารถพิเศษให้คนอื่นเห็น ผู้คนก็แห่กันไปหัวไม่วางหางไม่เว้น ในเมื่อมัวแต่รับญาติโยมจนตัวเองไม่มีเวลารักษากำลังใจ พอถึงเวลากดกิเลสไม่อยู่ รัก โลภ โกรธ หลง ตีกลับ ก็จะเกิดเหตุขึ้นอย่างท่านอาจารย์ ๓ รายที่นำมาบอกกล่าวให้ฟัง
แค่นั้นยังไม่พอ ถ้าเราเปรียบพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เป็นเพชรเป็นพลอย ลองถามคนที่เขาขุดเพชรขุดพลอยร่อนแร่ดูสิ ว่าเขาต้องขุดดิน ขุดหิน กี่หมื่นกี่แสนตันกว่าที่จะได้เพชรได้พลอยสักเม็ดหนึ่ง ?
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระภิกษุสงฆ์สามเณรในพระพุทธศาสนาของเรา ถ้านับในประเทศไทยก็มีอยู่แค่ประมาณแสนกว่ารูปเท่านั้น ถ้าหากว่าในช่วงเข้าพรรษาก็มีอยู่ราว ๆ สองแสนกว่ารูป กรองแล้วจะเหลือรอดไปได้สักเปอร์เซ็นต์ ? สองเปอร์เซ็นต์ก็ยังยากเลย..!
ส่วนท่านที่เหลืออยู่ก็คือประเภทที่สามารถทรงฌาน ทรงสมาบัติแล้วกดกิเลสเอาไว้ เผลอเมื่อไร กิเลสก็ตีหงายท้องเมื่อนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจะไปหวังเอาเพชรเอาพลอยเลย จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2022 เมื่อ 07:22
|