ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถึงเวลาประชุมพร้อมเพรียงกัน เลิกพร้อมเพรียงกัน ไม่มีใครแตกแถวแตกแนว รับฟังท่านผู้เป็นประธานแล้วปฏิบัติตาม ทุกอย่างก็เป็นไปโดยความพร้อมเพรียงและเข้มแข็ง ในเมื่อมีกษัตริย์ ๗,๗๐๗ พระองค์ เราต้องนึกว่ามีราชกุมารกี่พระองค์ ? อย่างไม่มี ๆ ก็ต้องอีก ๗,๐๐๐ กว่าองค์
วัสสการพราหมณ์เมื่อได้โอกาสเข้าไปสอนเหล่าราชกุมารไประยะหนึ่ง ก็เริ่มแผนการของตน ก็คือเมื่อถึงเวลาเลิกสอนแล้ว ก็เรียกราชกุมารพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเอาไว้ ให้เข้าไปในห้องสองต่อสอง พูดง่าย ๆ ว่าทำโน่นทำนี่ให้พักหนึ่งก็ปล่อยกลับ ราชกุมารอื่นสอบถามว่า "อาจารย์เรียกท่านไปทำอะไร ? มีการบอกวิชาลับอะไรที่คนอื่นรู้ไม่ได้หรือ ?" ราชกุมารนั้นก็จะปฏิเสธว่าไม่มีอะไร แต่พอเปลี่ยนเป็นราชกุมารพระองค์นั้น พระองค์นี้ไปเรื่อย ๆ ระยะหนึ่ง ทุกคนก็เริ่มหวาดระแวงกันว่า อาจารย์อาจจะถ่ายทอดวิชาลับพิเศษให้ผู้อื่นเหนือกว่าตน ก็เอาไปฟ้องผู้เป็นพระราชบิดา
ผู้เป็นพระราชบิดาพอได้ยินได้ฟังก็เริ่มไม่พอใจกัน เมื่อถึงเวลาประชุม ก็เกิดอารมณ์ประมาณว่า "ลูกมึงเก่งกว่า ดีกว่า มึงก็ไปประชุมแล้วกัน..!" ตนเองก็เริ่มขาดประชุม พอทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ๆ ท้ายสุดตีกลองประชุมแล้วไม่มีใครเข้าประชุมเลย กว่าจะถึงระยะเวลานั้น ก็ผ่านไป ๓ ปี
เมื่อตีกลองแล้วไม่มีใครประชุมเลย วัสสการพราหมณ์จึงส่งข่าวถึงพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อยกทัพไปก็ล้มล้างแคว้นวัชชีได้โดยง่าย เพราะว่าไม่มีใครสู้รบ ต่างคนต่าง "โบ้ย" ให้เป็นภาระคนอื่น จนปัจจุบันนี้คำว่า วัสสการพราหมณ์ แทนความหมายของการเป็นไส้ศึก ที่เข้าไปทำลายความสามัคคีของอีกฝ่ายหนึ่ง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-02-2022 เมื่อ 03:15
|