ดังนั้น...ถ้าหากว่านักข่าวไปจี้ถามว่าเป็นของท่านหรือเปล่า ? เป็นอะไรที่ท่านเอาไว้ใช้หรือเปล่า ? ไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้ แต่ถ้าหากว่ากิน ก็คือมีเหล้ามีเบียร์อยู่ หรือว่าใช้ถุงยางอนามัย ต่อให้กำลังใช้ต่อหน้าต่อตา หรือว่าใช้แล้วทิ้งไว้ แต่ว่าสามารถตรวจได้ว่ามีดีเอ็นเอของท่าน นั่นก็เป็นการผิดพระวินัย ไม่ได้ผิดกฎหมายบ้านเมือง
ประเด็นพวกนี้ต้องแยกให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นแล้วบางทีสังคมก็ตัดสินไปแล้วว่าพระผิดกฎหมายบ้านเมือง หรือว่าไปละเมอเพ้อพกว่าชาวบ้านก็ดี หมอปลาก็ดี มีอำนาจตามกฎหมาย สามารถบุกไปค้นจับพระสึกได้ ถ้าวันไหนเจอพระจ้วงหงายหลังตกกุฏิมา กระผม/อาตมภาพจะไม่แปลกใจเลย เพราะว่าถ้าอยู่ ๆ มีคนบุกเข้ามาในวัด แล้วพระไม่ดูแลป้องกัน พระที่เป็นเจ้าอาวาสต่างหากที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่..!
ดังนั้น...ในเรื่องของกฎหมายก็ดี พระวินัยก็ดี เหมือนกับอาวุธ ใช้ในทางที่ถูก ก็เป็นคุณเป็นประโยชน์ทั้งตัวเองและสังคม แต่ถ้าใช้ในทางที่ผิดเมื่อไร ก็เหมือนกับที่ผมเคยให้โอวาทในงานปฐมนิเทศว่า ยิ่งเรียนรู้มากก็เหมือนกับ "เหี้ยติดปีก" เพราะว่าสามารถที่จะอาศัยช่องว่างรอยโหว่นี้หลบหลีกกฎหมาย หรือว่าพระธรรมวินัยไปได้ จึงเป็นเรื่องของจิตสำนึกล้วน ๆ
และขณะเดียวกัน ในความเป็นพระภิกษุสามเณรนั้น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราต้องถือหลักของผู้พิพากษา ก็คือบุคคลนั้นเป็นแค่ "ผู้ต้องหา" ไม่ใช่ "นักโทษผู้กระทำผิด" จนกว่าจะสอบสวนกันโดยพยานหลักฐานให้แน่นหนาก่อน
แต่ขณะเดียวกัน ก็อย่าหลงประเด็นเป็นอันขาด พระภิกษุสามเณรของเราปกครองดูแลกันโดยพระธรรมวินัย ถ้าล่วงละเมิดเมื่อไรก็ผิดเดี๋ยวนั้น ไม่ใช่ต้องรอให้ศาลชั้นต้นตัดสิน แล้วก็อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินแล้วก็ฎีกา ศาลฎีกาตัดสินว่าผิด ก็ยังอุตส่าห์ฟ้องศาลปกครองต่อไป ถ้าลักษณะอย่างนั้น เขาเรียกว่าหลงประเด็น เพราะว่าความผิดตามพระธรรมวินัยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศาลเลย ถ้าผิดแล้วไม่ยอมรับ ก็เป็นเรื่องที่เจ้าคณะปกครองสงฆ์จะดำเนินการกันไปตามกฎเกณฑ์ที่มีอยู่
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2022 เมื่อ 03:42
|