แต่ถ้าท่านทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ไม่ต้องมากเลยครับ แค่ลมหายใจเข้าออก จมูก อก ท้อง...ท้อง อก จมูก รู้ได้ครบแค่นี้ก็พอแล้ว ความสุขที่เกิดขึ้นเหนือกว่าความสุขของการไปกิน ไปเที่ยว ไปกระตุ้นเร้าด้วยสิ่งภายนอกจนประมาณไม่ได้เลย และเป็นความสุขที่ยั่งยืนด้วย เพราะว่าเกิดขึ้นในจิตในใจของเรา เกิดจากการที่เราทำด้วยตนเอง ไม่ต้องกระตุ้นเร้าด้วยสิ่งภายนอก
ตรงจุดนี้ภาษาบาลีเรียกว่า ปีติ พอปีติเกิดขึ้น คราวนี้อันตรายครับ..! หลายท่านทำกันข้ามวันข้ามคืน ไม่พักไม่ผ่อน พอร่างกายไม่ไหวก็เกิดอาการสติแตก กรรมฐานแตก การปฏิบัติธรรมก็เหมือนการกินอาหารหรือการทำงาน กินมากไปก็ย่อยไม่ทัน ทำงานมากไปก็เหนื่อย จนกระทั่งในวันต่อ ๆ ไปไม่สามารถที่จะทำให้มากกว่านั้นได้อีกแล้ว
ดังนั้น...ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายต้องหาส่วนที่พอเหมาะพอดีแก่ตนเอง ความพอเหมาะพอดีแก่ตัวเองนั้นไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังบุญบารมีที่สั่งสมมา
บางท่านนั่งกรรมฐานข้ามวันข้ามคืนได้สบาย ของเราเอง ๓ นาที ๕ นาที ก็ต้องออกไปหาน้ำดื่ม ต้องออกไปเข้าห้องน้ำ ถ้าไม่ได้เดินออกไปข้างนอกแล้วจะขาดใจตายครับ เพราะว่าท่านทั้งหลายไปเลี้ยงกิเลสจนอ้วนและมีกำลังมาก
ทำไมกิเลสมันถึงอ้วนและมีกำลังมาก ? เพราะว่าเราเลี้ยงเองครับ ทุกวันเลย เขาเรียกว่า วิญญาณาหาร อาหารคือความรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจครับ
ถึงเวลาเราบังคับตัวเองให้นั่งนิ่ง ๆ หลับตาอยู่ ตาไม่เห็นรูปที่ชอบใจ เราก็จะคลั่งแล้ว หูไม่ได้ยินเสียงที่ชอบใจ ก็จะคลั่งแล้วเหมือนกัน จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รส กายไม่ได้สัมผัส เหมือนกันครับ หลายท่านก็ออกอาการอาละวาด แทบจะวางมวยกับพระวิปัสสนาจารย์ก็มี นั่นเพราะกิเลสบัญชาการเรานะครับ กิเลสมีกำลังมาก เพราะเราเลี้ยงอยู่ทุกวัน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2021 เมื่อ 02:39
|