ตรงส่วนนี้พวกเราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้า แม้ว่าจะแยกคนออกเป็นประเภท แต่ก็ยังประทานกรรมฐานให้เฉพาะ และผู้ที่จะรู้จริตนิสัยผู้อื่นได้ครบถ้วนจริง ๆ ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกกับทุกท่านว่า คนเราทุกคนมีครบทุกจริต แล้วแต่ว่าช่วงเวลาไหน จริตไหนจะปรากฏขึ้นมา
แต่จริตที่ไม่สมควรมีเลยคือวิตกจริต กังวลล่วงหน้าไปก่อน ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงหรือเปล่า ? อย่างเช่น กังวลว่าเดี๋ยวมะรืนนี้จะต้องไปงานรับปริญญาที่ มจร. วังน้อยจะติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ หรือเปล่า ? คิดเสียจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ อันนี้ก็เหมือนกัน ก็คือแก้ไขด้วยอานาปานสติอย่างเดียว ไม่ต้องทำมาหากินอย่างอื่น นั่งดูลมหายใจเข้าออกไปอย่างเดียวเลย
ทุกคนมีครบทุกจริต เว้นแต่อันไหนเด่นที่สุด เราก็นับเป็นคนจริตนั้น ต้องหากรรมฐานคู่ศึกที่เหมาะสมมาฝึกฝนถึงจะได้ประโยชน์ ไม่เช่นนั้นถ้าได้กรรมฐานที่ไม่เหมาะกับจริตตนเอง อย่างดีก็ทำได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น
วันนี้จะคุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ? หลุดมายันนี่ได้ ขอให้ทุกท่านหมั่นสังเกตดู แต่อย่าลืมว่ากรรมฐานที่เป็นพื้นฐานใหญ่คืออานาปานสติ ไม่ว่าจริตไหนก็ทิ้งไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากว่าทิ้งเมื่อไร กำลังใจจะไม่ทรงตัว อัปปนาสมาธิไม่เกิด เราจะไม่มีกำลังพอที่จะกดกิเลสให้สงบลง ถ้าหากว่ากิเลสไม่สงบ ปัญญาก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้
จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-12-2021 เมื่อ 02:57
|