ท่านบอกว่า อวิชชา ปัจจะยา สังขารา อวิชชาคือความไม่รู้ รู้ไม่ทั่ว ทำให้เกิดสังขาร คือการนึกคิด ปรุงแต่ง ในเมื่อจำเป็นต้องนึกคิดปรุงแต่ง สังขาระ ปัจจะยา วิญญาณัง การปรุงแต่งต้องอาศัยวิญญาณ ไม่เช่นนั้นแล้วไม่สามารถที่จะนึกคิดปรุงแต่งอะไรได้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วิญญาณจะอยู่ที่ไหน ? วิญญาณะ ปัจจะยา นามะ รูปัง วิญญาณก็ต้องอาศัยนามรูป นามรูปจริง ๆ ก็คือร่างกายนี้แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาเห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณ หูได้ยินเสียงด้วยโสตวิญญาณ เป็นต้น
นามะรูปะ ปัจจะยา สะฬายะตะนัง ในเมื่อมีนามรูป ก็มีอายตนะ ๖ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สะฬายะตะนะ ปัจจะยา ผัสโส ในเมื่อมีอายตนะ ๖ ก็ต้องมีการสัมผัส ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ผัสสะ ปัจจะยา เวทะนา ในเมื่อมีสัมผัส ก็เกิดเวทนา คือความรู้สึก สุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์
เวทะนา ปัจจะยา ตัณหา ซวยแล้ว ในเมื่อมีความรู้สึกสุขหรือทุกข์ ไม่สุขหรือไม่ทุกข์ขึ้นมา ก็จะเกิดความอยาก อยากในสิ่งที่ดี รู้สึกดีกับตัวเอง ก็คือสิ่งที่เป็นสุข อยากที่จะไปให้ไกลจากส่วนที่ไม่ดี ก็คือส่วนที่เป็นทุกข์ ตัณหา ปัจจะยา อุปาทานัง ในเมื่อมีความอยากก็เกิดอุปาทาน คือการยึดมั่น ไอ้ตัวเฮงซวยมาแล้ว
อุปาทานะ ปัจจะยา ภะโว ในเมื่อคุณยึด ก็ต้องมีที่ให้ยึด ภพคือการเกิด สถานที่เกิดจึงเกิดขึ้น ในเมื่อ ภะวะ ปัจจะยา ชาติ ในเมื่อมีภพก็ต้องมีการเกิด พอเกิดขึ้นมาก็ซวยยาวเลยคราวนี้..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2021 เมื่อ 10:49
|